ปฏิบัติธรรมสิ...แล้วจะสดใส
แทบทุกวัน ในช่วงส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2561 พ่อครูเมื่อมีเวลา ก็จะพาปัจฉาฯ ออกไปเดินเยี่ยมให้กำลังใจลูกๆที่เฮือน บวร ซึ่งเป็นอาคารเนื้อที่ 11 ไร่ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเพื่อฟ้าดิน ปี 2561 ณ บวรราชธานีอโศก
โยมที่มาจากภายนอก ที่มาร่วมงานหลายคน พอเจอพ่อครู ก็มาขอภายภาพร่วมกับพ่อครูกันไม่ขาดสาย แทบตลอดการเดินรอบเฮือน บวร เลยทีเดียว
มีโยมคนหนึ่ง ขอภายภาพกับพ่อครู แล้วก็บอกว่า ไม่น่าเชื่อว่าพ่อครูจะดูสดใส ดูไม่แก่เลย ดูดีสดใสกว่าตอนอยู่ในจอทีวีเสียอีก
โยมคนนี้ว่าแล้ว ก็ถามว่า พ่อครูมีวิธีหรือเคล็ดลับอย่างไรนี่ถึงได้ดูสดใส อ่อนกว่าวัย แม้ว่าจะอายุ 84 ปีแล้ว ก็ไม่เหมือนคนทั่วไป
พ่อครูยิ้มๆ แล้วตอบว่า....ปฏิบัติธรรมสิ แล้วจะสดใส!
วงเล็บไว้ด้วยว่า ต้องสัมมาทิฏฐิ คือต้องปฏิบัติธรรมอย่างสัมมาทิฏฐิด้วยนั่นเอง หากไม่สัมมาทิฏฐิแล้ว การปฏิบัติธรรม แทนที่จะสดใส ก็จะกลายเป็นเศร้าหมองไป โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั่นเอง
แต่ว่า สัมมาทิฏฐิ จะเกิดได้ ต้องมีปรโตโฆษะกับโยนิโสมนิสิการ
ปรโตโฆษะ ก็คือ การรับฟังเสียงอื่น คนอื่น ความเห็นอื่น ทิฏฐิอื่น ที่ต่างไปจากตนเองบ้าง…จึงจะนำไปทำใจในใจให้เปลี่ยนแปลงถึงจิตวิญญาณได้(โยนิโสมนสิการ) นั่งเอง ซึ่งก็น่าเห็นใจ สำหรับผู้ที่ เห็นพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ เป็นผู้มาทำลายศาสนา ทั้งที่ ท่านมาช่วยศาสนา…
...พ่อครูได้กล่าวไว้เมื่อ 1 มกราคม 2561 ในการเทศน์ทำวัตรเช้า งานเพื่อฟ้าดินไว้ว่า...
“ ผู้ที่สนใจศาสนา จะฟังอาตมาสักกี่คน ฟังด้วยดี มีปรโตโฆสะ ก็จะได้ปฏิบัติโยนิโสมนสิการได้ถูกต้อง การไปสะกดจิตก็เป็นการทำใจในใจ แต่ไม่ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่ถ่องแท้แยบคาย ไม่มีทางเกิดมรรคผลแบบพุทธ ไม่สามารถที่จะไปถึงที่เกิด อโยนิโสฯ คำว่าโยนิโสฯ แปลว่า ไปถึงที่เกิด ไม่มีทางไปถึงสัมภวะ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในมูลสูตรชัดเจน
ในมูลสูตรข้อที่ 1 มีฉันทะเป็นมูลกา ความยินดี ศาสนาพุทธ ถ้าไม่มีความยินดีในการปฏิบัติ ไม่มี 1 ใน 7 ของสุริยเปยยาลสูตร
1. มิตรดี ต้องพบมิตรที่บรรลุธรรมจริง ศาสนาพุทธ มองไปตอนนี้ไม่เห็นมีใครจะบรรลุธรรม ที่สามารถแยกแยะ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ สามารถพูดแยกแยะได้ จนคนฟังแล้วสามารถปฏิบัติตาม บรรลุธรรมได้ ส่วนมากก็พูดกันไม่ถูก เพราะมิตรดีสหายดี สหายแปลว่าผู้ทำประโยชน์ มิตรดีคือผู้ร่วมพัฒนาทางจิต เป็นสัตบุรุษต้องเป็นผู้ที่มี สัมมัคตาปฏิปันนา มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมามรรค สัมมาผล เป็นอรหันต์เลย เป็นสัตบุรุษจริง ก็ต้องคบสัตบุรุษก่อน
2. มีศีล คบสัตบุรุษ แล้วต้องให้มามีศีล ไม่ใช่คบสัตบุรุษแล้ว พาให้นั่งหลับตา ปฏิบัติหลับตาจะไปมีศีลได้อย่างไร จะมีสิ่งที่ต้องปฏิบัติมีสัมผัสที่ 6 ปฏิบัติธรรมต้องมีสติ
สติ รู้ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายสัมผัส ปรุงแต่งภายในใจก็รู้ เมื่อรู้แล้วก็อ่านอาการ ลิงค นิมิต ออก มีศีล
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้วรู้ อย่างที่อาตมาอธิบายตอนนี้ ก็จะเกิดความยินดี ฉันทะ ยินดีว่า เราได้พบมรรค ปฏิบัติแล้ว สามารถปฏิบัติต่อไปได้
แล้วก็จะอ่านตัวอัตตาออก ในสุริยเปยยาล ต้องได้ฟังสัตบุรุษอธิบาย ไม่อย่างนั้นปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ไม่ได้ ปฏิบัติศีลและเข้าใจ ยินดี มีฉันทะ ทำอัตตานี้ออกได้ เพราะว่ามีทิฏฐิเป็นสัมมา เช่น จิตทำทานก็จะไปเอาสวรรค์วิมาน ผิด ต้องให้จิตไม่เกิดอาการที่จะไปเอา จึงจะเกิดอัตถิทินนัง เกิดทำทานแล้วมีผล ถ้าทำทานแล้วจิตจะเอาสวรรค์วิมานไปใส่จิต ก็ผิด เป็น นัตถิ ทินนัง ทำทานแล้วไม่มีผล คือข้อที่ 1 ในมิจฉาทิฏฐิ 10
มิจฉาทิฏฐิ 10 ประกอบด้วย 1.นัตถิ ทินนัง(ทานไม่มีผลลดกิเลส) 2.นัตถิ ยิตถัง(ยัญพิธีไม่มีผลลดกิเลส) 3.นัตถิหุตัง(ผลที่เกิดจากทานและยัญพิธีไม่มีผลลดกิเลส) 4.นัตถิสุกตทุกฎานัง กัมมานัง ผลังวิปาโก(ผลของกรรมวิบากจะก่อสุข ทุกข์ไม่มี) 5.นัตถิมาตา(ภาวะจิตแบบแม่ไม่มี) 6.นัตถิอยังโลโก(โลกนี้ที่เป็นโลกียะไม่มี) 7.นัตถิปโรโลโก(โลกหน้าคือโลกโลกุตระไม่มี) 8.นัตถิ ปิตา(ภาวะจิตแบบพ่อไม่มี) 9.นัตถิสัตตาโอปปาติกา(สัตว์ทางจิตวิญญาณไม่มี) ก็ไม่เกิดการบรรลุ เพราะไม่รู้จัก 10.นัตถิสัมมาปฏิปัณณาเย อิมญฺจ โลก ปรญฺจ โลก สย อภิญญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตีตี(ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ผู้ สามารถรู้แจ้งโลกนี้โลกหน้าไม่มีอยู่จริง) ไม่ได้คบสัตบุรุษ ไม่ได้ฟังสัทธรรม ไม่ได้รู้โลกนี้โลกหน้าที่ถูกต้อง ไม่เรียนรู้อัตตา
1. ต้องพบสัตบุรุษ 2. รู้แล้วต้องทำ พาปฏิบัติศีล ไม่ใช่พาไปปฏิบัติสมาธิ เมื่อกี้นี้บอกว่า ต้องมีสติ รู้ตาหูจมูกลิ้นกาย อ่านกิเลสได้แล้ว ทำให้กิเลสลดได้ อย่างมีปัญญา มีพลังฌาน ไม่ใช่สะกดจิต ให้จิตทื่อหยุดพลังงานจิต ไม่ใช่
กิเลสลด พลังงานจิตยิ่งเร็ว คล่องแคล่ว เรียกว่า มุทุภูตธาตุ หรือ ปายคุญญตา เวทนาก็ยิ่งคล่องแคล่ว สัญญาก็ยิ่งคล่องแคล่ว สังขารก็คล่องแคล่ว สมาธิของพระพุทธเจ้านั้น กิเลสยิ่งลด จิตยิ่งคล่องแคล่ว เพราะจิตเกิดอุเบกขา เกิด ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ขึ้นจริงๆ จิตจะบริสุทธิ์ขึ้นด้วยเรื่อย มุทุภูตธาตุ รับรู้ก็เร็ว กิเลสไม่มีได้ก็เร็ว ผลที่ทำได้ ธาตุจิตตกผลึก สั่งสมลงเป็นสมาธิ ตั้งมั่น ไม่ใช่เป็นนักสะกดจิต ให้จิตหยุดๆๆ นั่นมันตื้นๆ ง่ายๆพื้นๆ ไม่ได้ลึกซึ้ง ไม่ได้คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับ อย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีต ไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดา มิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะ ผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริง เท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
สงบแบบของพุทธ ต่างจากของฤาษี ไม่มีประโยชน์อะไรต่อโลกต่อสังคม แย่ยิ่งกว่าสัตว์ นั่งหลับตาสะกดจิต เดรัจฉานมันก็ยังทำตามหน้าที่ของมัน แต่นี่ไม่ทำอะไรเลย เกิดมาก็นั่งจุมปุ๊กหนักแผ่นดิน เขาบอกว่าต้องนั่งหลับตาดับให้ได้นิโรธ 7 วัน ไม่ทำอะไรเลยแล้วบอกว่าเก่ง ทำให้ผู้คนพากันหลง พอออกจากนิโรธแล้ว ต้องเอาของมาเลี้ยงยกย่องกัน เป็นศาสนานอกรีต ของพุทธไม่ใช่แบบนี้เลย ที่พูดนี้ไม่ได้บังคับนะ แต่อนุโลมตามแล้วปฏิบัติตามนี้ให้ได้
อาตมาเกิดมาทำงานศาสนา เหมือนยกตัวเอง พูดว่าคนอื่นผิด ก็จำนนต้องพูดความจริง ถ้าไม่พูดความจริง ก็ไม่มีอะไรมายืนยันว่าอันนี้เป็นเรื่องที่ถูก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผิด ต้องเกิดมาเป็นผู้กอบกู้ศาสนา ดีนะไม่ได้บอกเป็นตัวตน ว่าเป็นใครมาเกิด แต่ก็บอกบ้าง บอกว่า อาตมาสืบทอดศาสนามา คนที่เพ่งโทษก็ถือสาได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้บังคับใคร ให้ฟังทั้งสองฝ่าย อะไรเป็นธรรมวาที อะไรเป็นอธรรมวาที ก็ตัดสินตามภูมิปัญญาตัวเอง มันมีธรรมชาติของนานาสังวาส สังวาสคือ เป็นพุทธร่วมกัน แต่นานาคือ แตกต่างกัน คุณเป็นคนกลาง เป็นพุทธศาสนิกชน ก็ตัดสินเลือกเอา อันไหนถูกก็มาเอา อันไหนผิดก็ไม่เอา”
“คุณสมบัติของความจนอันประเสริฐ(อรหันต์)”
“อรหันต์”นั้นมีสัจธรรมยืนยันความจริงว่า เป็น“คนจน” ที่มี“ความจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจสุดประเสริฐ(อรหันต์)มีคุณค่ายิ่งในโลก”นั้น สังคมคนที่เป็นได้ด้วยตนเองจริง(สันทิฏฐิโก) ชนิดที่มีได้ไม่จำกัดยุคกาล(อกาลิโก) เป็นของสูงที่ควรเอื้อมเอามาให้ตน(โอปนายิโก) เชื้อเชิญให้ใครๆมาพิสูจน์ได้(เอหิปัสสิโก) ซึ่งเข้าถึงบรรลุจริงได้ด้วยตนเองรรู้เองเห็นเอง(ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ) และเป็นไปได้อย่างถาวรยั่งยืน(ธุวัง) เที่ยงแท้(นิจจัง) ตลอดกาล(สัสสตัง) ไม่แปรเปลี่ยนเป็นอื่น(อวิปริณามธัมมัง) ไม่มีอะไรหักล้างได้(อสังหิรัง) ไม่กลับกำเริบ(อสังกุปปัง) อยู่แน่แท้
มิใช่ว่า“เป็นได้”เพียงแต่ละกาละชั่วครั้งชั่วคราว แล้ว“ความจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจที่ประเสริฐยิ่งมีคุณค่าอยู่ในสังคมที่เป็นคุณสมบัติของอรหันต์แล้ว”นี้ก็เปลี่ยนไปเป็น“มีทุกข์”แวบเข้ามาในใจได้อีก แม้นิดแม้น้อย
ซึ่งจะไม่เป็นเช่นนั้นเลย ความสุขสำราญเบิกบานใจของคนจนผู้เป็นอรหันต์นี้จริงแล้ว จะ“เป็นความจนสุขสำราญเบิกบานใจ”ที่อยู่ในใจ“อรหันต์”ไปตลอดกาละ ไม่มีช่วงใดขาดตอนแม้แต่เศษเสี้ยววินาทีทีเดียว เป็นแล้วเป็นเลย
ไม่กลับไปเป็นอื่นอีก คือ ไม่กลับไปหา“ความไม่มีสุขที่ไม่สำราญเบิกบานใจ”อีกเลย แม้สักแวบเดียว จะมีแต่สุขสำราญเบิกบานใจถ่ายเดียวตลอดกาล จนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไปเองด้วยตนเอง.
สมณะโพธิรักษ์….๕ พ.ย. ๒๕๖๐ (๑.๓๓ น.)
ใครอยากสดใสเบิกบาน ตลอดไป ก็เชิญมาปฏิบัติธรรม(สัมมาทิฏฐิ)
พ่อครูยิ้มๆ แล้วตอบว่า....ปฏิบัติธรรมสิ แล้วจะสดใส!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น