สมณะฟ้าไทว่า…วันพุธที่ 6 กันยายน 2560 ขึ้น 1 ค่ำเดือน 10 ปีระกา ที่บวรราชธานีอโศก เข้าพรรษามาได้ 2 เดือน เหลืออีก 1 เดือนก็ออกพรรษา ถ้าเป็นทางโลกๆ ก็คิดว่าสึกแล้วจะทำอะไรต่อดี แต่ของเราเข้ากับออกก็เป็นอย่างเดียวกัน
วันนี้พ่อครูมาที่บวร ราชธานีอโศก แล้ว เมื่อ 6 วันก่อนก็ได้สัตตาหกรณียะไปประชุมสันตินาครและบวรปฐมอโศก พ่อครูต้องไปรับรู้เรื่องราวติดตามงานที่แต่ละชุมชน ตอนนี้พ่อครูก็ได้เทศน์สองวันที่ผ่านมาจะเทศน์เรื่องญาณ 3 สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ
สมมุติเราก็อยู่กับโลกเขา ฝ่ายสมมุติก็คือฝ่ายพวกมากชนะ ส่วนปรมัตถ์เราก็มาดูใจเรา ว่าทำกิเลสให้เป็นสูญได้หรือไม่ เป็นภาระกิจของคนโลกุตระ ทำให้สูญได้ก็ทำ หรม. คือทำสิ่งไม่ดีออกให้มากที่สุด เหลือสิ่งที่ดีเอาไว้ แล้วทำ ครน.คือทำอัตราก้าวหน้าให้ได้มากที่สุด แล้วทำให้เกิดผลเสียน้อยที่สุด แล้วพ่อครูก็เน้นว่า ต้องทำปัจจุบัน ปัจจุบันดีก็สั่งสมเป็นอดีตที่ดี ถ้าปัจจุบันไม่ดีก็สั่งสมอดีตไม่ดี ปัจจุบันจึงสำคัญที่สุด อนาคตมาไม่ถึง อดีตเปลี่ยนแปลงไม่ได้
วันนี้พ่อครูจะมาอธิบายธรรมะที่พวกเราควรจะได้ที่เป็นประโยชน์
พ่อครูว่า...ก่อนอื่นก็เอา sms มาก่อน
SMS วันที่ 4 กันยายน 2560 (พ่อครู-อ.กุ้ง บวรปฐมอโศก)
_8130ดิฉันขอคำอโศกต่อท้ายนามสกุลได้ไหมคะพ่อครู เพราะนามสกุลปิ่นทอง มีเยอะแยะมากจาก จ. เพชรบุรีชัดเจนดีคะ
พ่อครูว่า...อาตมาไม่ได้มีสิทธิ์ในการห้ามใช้หรือให้ใช้ได้
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ขาดทุนคือกำไรและแบบคนจนที่จริง
_3867แผ่นดินไทยโชคดีที่สุดที่มีมรดกล้ำค่าสูงส่งยังปย.สุขประเสริฐยิ่งกว่าผลปย.ชอบมิชอบใดๆในโลกคือปรัชญาพอเพียงจากพ่อหลวงร.9 !น้อมกราบสาธุการฯลูกไทยใจภักดิ์
พ่อครูว่า...อาตมาเห็นด้วย และเห็นว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นโพธิสัตว์ ท่านได้เอาหลักธรรมะมาใช้ เศรษฐกิจพอเพียง บริหารประเทศแบบคนจน ซึ่ง อาตมาพูดไป นักบริหารประเทศชาติจะฟังแล้วหูกระดิกหรือไม่นะ เราเอาออกอากาศทุกวัน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา และแบบคนจน ทำอย่างไร เราจะพัฒนาเศรษฐกิจให้เป็นแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แล้วท่านก็ตรัสว่า นักเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์เขาก็จะว่าพูดอะไร? ท่านก็ว่าอย่างนั้น ก็แน่นอน ทางทุนนิยมก็ต้องบอกว่าฟังไม่ขึ้น เล่นลิ้นหรือเปล่า? พูดเชิงตลก แฝงคารมหรือไม่ แล้วมันเป็นไปได้หรือไม่ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แต่ที่จริง มันเป็นไปได้ในตัวของมันเองอยู่แล้ว อย่างพวกเราชาวอโศก เราขาดทุนแล้วเราก็บอกว่าเราได้กำไร เรายังขาดทุนไม่ค่อยเก่ง ถ้าเราขาดทุนได้เก่งกว่านี้จะดีกว่านี้ เห็นจริงเลยว่าเป็นอย่างนั้น ในหลวงตรัสตามภูมิ เป็นพระปรีชาญาณของพระองค์ ว่า คนเราถ้าเห็นความจริงนี้ ฉลาดเข้าใจอย่างเป็นปัญญา เป็นความเฉลียวฉลาดเชิงปัญญาจริงๆ เห็นว่าขาดทุนของเราคือนั่นแหละเรากำไร เราเสียนี่แหละคือเราได้ เราได้เสียไปนี่แหละชีวิตเราเป็นคนที่มีประโยชน์ คนที่สามารถเข้าใจและทำได้อย่างนี้เป็นผู้ให้ผู้เสียสละ ชีวิตของเราเรามีของเราเป็นสิทธิของเรา แต่เราไม่เอาเปรียบ เราได้มาอย่างเอาเปรียบเราเป็นคนขาดทุน ถ้าได้อย่างสุจริตเป็นสัจธรรม ลาภธัมมิกา เป็นลาภโดยธรรม เราไปได้มานี่ ถ้าเราเอาเปรียบหาเชิงฉลาดที่จะได้เปรียบมามากๆได้แล้วหลงดีใจ ที่จริงควรเสียใจ เพราะนั้นเป็นบาป
ด้วยสัจจะของโลกุตระบุคคล ผู้มีภูมิปัญญามีโลกุตรภูมิ จะเห็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นเรื่องที่ทวนกระแสมาก ก็ค่อยๆศึกษาไป
ปัญญาที่มีไว้ชนกิเลส คนที่มีปัญญาจะเข้าใจ ว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรา คนไม่มีปัญญาจะรู้แต่เพียงหลักการ แต่ใจเขาไม่ได้เกิดความฉลาดความเห็นจริงอย่างจริงใจ ว่าอ๋อจริงๆนะ ว่าเราขาดทุนนี้คือเรากำไร
_3867นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.สันติฯทุกบวรอโศกฯ กับปัญญาที่มีไว้ชนกิเลสเพื่อชนะใจตัวเอง!มิใช่เป็นแต่ปัญญาชนแล้วปล่อยให้กิเลสชนตัวแล้วแพ้ใจตนเอง!
พ่อครูว่า...ปัญญาที่มีไว้ชนกิเลส เพื่อชนะใจตนว่า ขาดทุนของเรานี่แหละคือการกำไรการได้กำไรเขามาคือการขาดทุน ก็มีปัญญานี้ไว้ชนกิเลส
คุณ 3867 เอาคำว่าฉลาดไปใช้แทนปัญญา แล้วถ้าผู้ใช้ปัญญาที่ถูกต้องตามหลักโลกุตระ จะเห็นได้เลยว่าเราเสียไปคือเราได้มาอย่างที่ในหลวงตรัส ในหลวงร.9 นี่แหละ ท่านเองทรงงานทรงตรัสเรื่องสัจธรรม ที่เราได้เอามาออกโทรทัศน์ แบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา การก้าวหน้าอย่างนั้นแบบคนโลกๆเป็นความถอยหลังอย่างน่ากลัว เป็นเรื่องทวนกระแสภูมิปัญญาของโลกปุถุชนคนสามัญ
ผู้ที่มีโลกุตรภูมิ ก็เหมือนกับคนขวางโลก ขวางโลกีย์เขา เขาก็ฟังอาจรู้สึกหมั่นไส้ หมั่นไส้ที่เราพูดอยู่นี่ แล้วจะหมั่นไส้เรายิ่งขึ้น เพราะเราพูดตรงกับในหลวงที่ท่านได้ตรัสไว้ ก็เลยเห็นว่า เราเอาในหลวงมาข่ม เขาก็ยิ่งหมั่นไส้หนักเข้าอีก เราก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรนะ
เข้าใจตรงกันกับในหลวงเป็นสัจจะ ในหลวงไม่มีใครกล้าขัดแย้ง แต่โพธิรักษ์นี้เขาค้านแย้ง
สมณะฟ้าไทว่า...ความจริงเราน่าจะเทิดทูนบูชาประมุขของชาติที่ไม่มีความโลภ
พ่อครูว่า...ก็คงมีภูมิปัญญามีความเฉลียวฉลาดฟังเข้าใจ แม้จะไม่เป็นปัญญาจริง จะเป็นความฉลาดพอสมควรก็พอเข้าใจได้อยู่
เรื่องของปัญญาไม่ใช่ความฉลาดแกมโกง หรือเฉกาหรือเฉกะ
_3867ปชช.เห็นคอรัปชั่นมีปัญญาฉลาดแกมโกงกินชนะในการกอบโกยของๆโลกโดยชอบมิชอบมาทุกทศวรรษ!ก็ยังไม่เคยเห็นทุจริตชนคนใดใช้ปัญญาเอาชนะความโลภโกรธหลงในตัวเอง?มาตลอดศตวรรษ!ปลงเอวัง(เวง)
พ่อครูว่า...ปัญญามีพลังชนะความโลภโกรธหลง ถ้าคุณสร้างพลังงานจิตให้เกิดปัญญาจริง พลังงานปัญญาจะชนะความโลภโกรธหลง มันจะทำลาย เป็นพลังงานปัญญาที่มีอิทธิพลมีอำนาจมีฤทธิ์ เป็นปัญญาเป็นพลังงานที่มีฤทธิ์ชนะ พลังงานความโลภ โกรธ หลง ที่จิตใจเรามี
_หนูอ่อนตา · อยากรู้ เรื่อง อัดตาแต่ละอย่าง ขยายความให้ทราบได้ใหมค่ะ?
_SMS วันที่ 5 กันยายน 2560 (สมณะ-สิกขมาตุ บวรสันติอโศก)
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน กำลัง 4 พ้นภัย 5 จึงกล้าตาย
_3867กราบขอบคุณท.แสนจน-ซาบซึ้ง-สัจฉิกตากับธ.พลังปัญญาอันมีกำลัง4ที่ให้คุณปย.กายใจจิตวิญญาณก่ออานิสงส์ต่อเนื่องให้เกิดการนำพามวลมนุษยช.ก้าวล่วงพ้นภัย5ด้วยปัญญาพลัง,วิริยพลัง,อนวัชชพลัง,สังคหพลังสาธุ!
พ่อครูว่า...กำลัง 4 พ้นภัย 5
มีภัย 5 ที่พ้นก็คือ
1. อาชีวิตภัย (ภัยจากการดำรงชีวิต หาอาหารเลี้ยงกาย)
2. อสิโลกภัย (ภัย คือ การติเตียนจากคนโลกๆ)
3. ปริสสารัชภัย (ภัยคือ การสะทกสะท้านต่อสังคม)
4. มรณภัย (ภัยคือ ความตาย)
5. ทุคติภัย (ภัยคือ ทุคติ เช่น อบายภูมิ นรก เดรัจฉาน ฯ)
(พลสูตร พตปฎ. เล่ม 23 ข้อ 209)
อาตมาไม่กลัวใครตำหนิ แต่ก็มีคนตำหนิมากมาย เพราะอาตมาไม่ได้พูดเหมือนทั่วไป แม้แต่ในธรรมะกระแสหลัก ธรรมะของผู้รู้ของสังคมศาสนาพุทธ ที่ทุกวันนี้ เขาก็รู้อย่างนั้น อาตมานี่แหละก็มาตำหนิเขาว่ามันผิดๆๆ นะ คนที่เขายึดถือ ทางแบบที่ เถรสมาคมหรือกระแสหลัก ทั่วประเทศไทย หรือชาวพุทธของไทย เราไม่พูดถึงประเทศอื่น คนไทยได้ยึดมั่นถือมั่นว่า ที่เถรสมาคมยึดถือ ดำเนินการประพฤติชั่วขณะนี้ อาตมาตำหนิ ว่าผิด ผิดไปจนเกือบหมด ไม่พูดว่า “หมด” ก็บุญแล้ว ผิดจนเกือบหมด แล้วไปยึดถือสิ่งที่ผิดว่าเป็นสิ่งที่ถูก อาตมาจึงได้หนักมากเลยทำงานชาตินี้ปางนี้ ถ้าอาตมาไม่มาก็คงไม่เหลือสิ่งที่ฟื้นมาได้เลย ก็พยายามไม่ตายง่ายๆ เพื่อยืนยันได้มากกว่านี้ เอาหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงให้กระจ่างขึ้น มีสิ่งที่ปฏิบัติจริงยืนยันได้ผล ขึ้นไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นในความเป็นจริง ที่เป็นเรื่องของปัญญาของพระพุทธเจ้าจึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ พ้นอาสิโลกภัย ไม่กลัวการตำหนิติเตียน ไม่สะทกสะท้าน ในสังคม สังคมโลก สังคมพุทธ สังคมเขายึดถืออย่างนั้น เราก็ไม่สะทกสะท้าน เขายึดถือแบบนั้นเลย อาตมาพาพวกเราไปไหน ๆ ก็ไม่เคยสะทกสะท้าน ทำอย่างที่เราเป็นเป็นอย่างที่เราเป็น ไม่เคยสะท้านสะทกอะไร เพราะเราทำดีแล้วทำถูกแล้ว จะไปสะทกสะท้าน หวาดกลัวหวาดหวั่นอะไร เราไม่ได้ทำผิดเราทำถูกทำดี มันชัดเจน
จึงไม่สะทกสะท้านแม้แต่มรณภัย และทุคติภัย เราเข้าใจธรรมะได้ดียิ่งขึ้นแล้วทุกคนก็ต้องตาย เราไม่กลัวตายเพราะเราได้ทำสิ่งที่เป็นกุศลเป็นบุญ ทำสิ่งที่ดีจริงๆ ตายแล้ว วิบากที่จะเกิดในชาติหน้า จะได้ร่างดีกว่าเก่าสุขภาพดีกว่าเก่า อาการ 32 จะเจริญกว่าเก่า ปัญญาจะเจริญกว่าเก่า ภูมิธรรมสูงขึ้นจริงๆ เปลี่ยนร่างเปลี่ยนอะไรขึ้นมาอีกก็ได้ ได้องคาพยพใหม่ ได้ร่างใหม่ชีวิตใหม่ กายและจิตใหม่ก็จะยิ่งดีขึ้น จะหล่อกว่าเดิม ฉลาดเฉลียวมีปัญญามีจิตใจแข็งแรงกว่าเดิม
เพราะฉะนั้นจะไม่กลัวตาย เพราะการตายคือการเปลี่ยนร่าง แล้วเราจะรู้ว่าถ้าจะตายอย่าง อรณะ ไม่ใช่แค่ตายอย่าง มรณะที่ต้องวนเวียน อรณะคือตายอย่างไม่ลึกลับ ตายอย่างไม่มีสงคราม อรณะคือถ้ายังไม่มีสงคราม ตายอย่างจิตไม่ลึกลับ อรหะ
ตายอย่างหมดสงคราม สงครามที่เราจะต้องต่อสู้กับกิเลสไม่มีแล้ว เราอยู่กับสังคมก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย ยิ่งทุคติภัย ไม่กลัวจะตกต่ำแล้วตั้งแต่มีภูมิโสดาบัน อวินิปาตธรรม ไม่มีความตกต่ำเป็นธรรมดาผู้ที่เข้ากระแสโลกุตระแล้วจริงๆ จะไม่มีการตกต่ำ
นิยตะ สัมโพธิปรายนะ ยิ่งเป็นสกิทาฯก็ยิ่งไม่ตกต่ำ ไปสู่ที่สูงที่สุดอย่างจริงยิ่งกว่าพระโสดาบัน ยิ่งอนาคามีก็ยิ่งจริงยิ่งขึ้น อรหันต์คือทะลุเลยสูงสุดจบ
เราไม่กลัวมรณภัย ทุคติภัย เพราะเรามีปัญญา เดี๋ยวจะได้ขยายความปัญญาต่อไป
ก็มาขยายความเฉกาหรือเฉโกเสียก่อน
“ไพบูลย์” ชี้ มส.กดดันย้าย ผอ.พศ.หวังยุติสาวทุจริตเงินทอนวัด จี้ รบ.อย่าเกรงอิทธิพล
เผยแพร่: 6 กันยายน 2560 15:51 น. ปรับปรุง: 6 กันยายน 2560 17:05 น. โดย: ผู้จัดการออนไลน์
อดีตประธาน กก.ปฏิรูปพุทธศาสนา มองการย้าย “พ.ต.ท.พงศ์พร” พ้น ผอ.พศ.เป็นกระบวนการ มส.ต้องการให้ยุติขยายผลเงินทอนวัดที่โยงถึงวัดใหญ่ หลังพบไม่โปร่งใส ผลาญงบเพียบ หวังกลบความผิด เผย ปชช.ไม่เห้นด้วยการย้าย ย้ำต้องปฏิรูปคณะสงฆ์ จี้รัฐเลิกเกรงอิทธิพลพระผู้ใหญ่
วันนี้ (6 ก.ย.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานเครือข่ายประชาชนปฏิรูป และอดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เปิดเผยว่า การย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และมีการแต่งตั้งนายมานัส ทารัตน์ใจ จากอธิบดีกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม มาดำรงตำแหน่ง ผอ.พศ.คนใหม่แทน เป็นกระบวนการของพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคม (มส.) ที่ต้องการให้ยุติการขยายผลการตรวจสอบเรื่องเงินทอนวัดที่ไปถึงวัดใหญ่ระดับกรรมการมาเป็นเจ้าอาวาส และมีปัญหาในการใช้งบประมาณแผ่นดินปีละ 600 ล้านบาท ที่อ้างว่านำไปใช้เผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่ง ผอ.พศ.คนเดิมที่ถูกย้ายได้ตรวจสอบพบความไม่โปร่งใส ไม่มีหลักฐานที่เชื่อได้ว่าได้ใช้เงินของรัฐไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
นายไพบูลย์กล่าวต่อว่า ประการสำคัญมีการตรวจสอบพบว่า งบประมาณอุดหนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรมปีละ 1,200 ล้านบาท นอกจากมีเจ้าอาวาสหลายวัดทุจริตปั้นตัวเลขนักศึกษาลมมาเบิกงบหลวงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นปรากฏว่ามีหลักฐานชัดเจนว่าวัดใหญ่ในกรุงเทพฯ 3 วัดที่เจ้าอาวาสเป็นกรรมการ มส.เบิกงบเงินอุดหนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรม ทั้งที่ไม่ปรากฏว่ามีโรงเรียนพระปริยัติธรรมอยู่ในวัดนั้น เป็นการกระทำที่ไม่สุจริตอย่างแน่นอน ผิดทั้งกฎหมาย และล่วงละเมิดพระธรรมวินัยอย่างร้ายแรง จึงมีขบวนการของพระผู้ใหญ่ที่ต้องการกลบความผิดโดยใช้วิธีตัดตอน กดดันให้รัฐบาลเปลี่ยนตัว ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ คนใหม่ เอาคนที่ไม่มีประวัติทำงานด้านตรวจสอบความถูกต้อง โปร่งใสใดๆ มาทำงานเพื่อรอเกษียณปีหน้า โดยขณะนี้ขบวนการดังกล่าวคิดว่าพวกเขาประสบความสำเร็จแล้ว
“ประชาชนจำนวนมากทั่วประเทศต้องการเห็นการปฏิรูปคณะสงฆ์ให้อยู่ความถูกต้อง โปร่งใส ไม่ล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ออกมาตำหนิรัฐบาลในการย้าย ผอ.พศ.ครั้งนี้กันมากมาย และเรียกร้องให้การตรวจสอบการทุจริตงบประมาณแผ่นดินของเจ้าอาวาสวัดต่างๆ ที่ต้องดำเนินต่อไป รัฐบาลต้องไม่เลือกปฏิบัติ หรือคอยแต่เกรงกลัวอิทธิพลของพระผู้ใหญ่ใน มส.จนจะทำให้กระบวนการเพื่อความถูกต้อง ความยุติธรรม ความสุจริต เป็นไปตามหลักธรรมภิบาลของชาติเสียหาย ทั้งนี้ ส่วนตนจะติดตามเรื่องทุจริตเงินทอนวัดและเรื่องบัญชีรับจ่ายวัดให้มีการเปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้ต่อไปเช่นเดียวกัน ล่าสุดได้ข้อมูลว่าคณะปกครองสงฆ์ส่งแต่ตัวเลขจำนวนวัดที่ทำบัญชีมาหลอกสังคมและหน่วยงานรัฐอื่นให้คิดว่ามีการจัดทำบัญชีวัดครบแล้ว และส่งมาให้ พศ.ไว้แล้ว” นายไพบูลย์กล่าว
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ต้องละเฉกาถึงเกิดปัญญาพาบรรลุธรรม
พ่อครูว่า...จริงแล้วเราไม่ได้มีจิตเกลียดชัง แต่เป็นเรื่องที่ต้องตำหนิเพราะมันแย่จริงๆ ก็เขาบอกไปโดยตรงว่าเดี๋ยวนี้ศาสนา เอาในเมืองไทยเป็นหลัก เมืองอื่นไม่ต้องพูดถึง ศาสนาพุทธในเมืองไทยนี่แหละ ไม่ได้มีปัญญากันหรอก มีแต่เฉโก
คำว่าความเฉลียวฉลาดในภาษาบาลีมี 2 คำ(ปัญญากับเฉกา)
ปุถุชนนี้มีความฉลาดแบบ เฉโกหรือเฉกะ หรือเฉกตา ชนิดเดียว ไม่มีความฉลาดทางปัญญาเลย
ผู้ที่มีความฉลาดที่เรียกว่าปัญญา คือความเฉลียวฉลาดแบบที่สอง
ปุถุชนมีแต่เฉกา แต่อาริยะชนตั้งแต่โสดาบันเป็นต้นไปเริ่มมีความเฉลียวฉลาด ที่เรียกว่าอัญญา เป็นความเฉลียวฉลาดทางโลกุตระ
ผู้จะมีปัญญาได้จะต้องมีสัมมาทิฐิ ต้องมีสัมมาปฏิบัติ ต้องเกิดจิตบรรลุธรรม เกิดอธิปัญญา เกิดปัญญาจากการปฏิบัติ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ปัญญาจึงจะเกิด
ปัญญาจะเกิดจากการอื่นไม่ได้เลยจะต้องเกิดจาก
1. ได้คบสัตบุรุษ ฟังสัทธรรมบริบูรณ์ จึงเกิดความศรัทธาที่บริบูรณ์ จึงทำใจในใจบริบูรณ์ โยนิโสมนสิการได้บริบูรณ์ จึงจะเกิดปัญญา สติสัมปชัญญะจึงจะบริบูรณ์ สํารวมอินทรีย์ 6 จึงบริบูรณ์ สุจริต 3 จึงบริบูรณ์ สติปัฏฐาน 4 จึงบริบูรณ์ โพชฌงค์ 7 จึงบริบูรณ์ วิชชาและวิมุติจึงบริบูรณ์ นี่คืออวิชชาสูตร
ทุกวันนี้ศาสนาพุทธได้เสื่อมและผิดเพี้ยนไปจนเข้าใจคำว่าฉลาดที่เป็น เฉโก กับความฉลาดที่เป็นปัญญาแยกแยะไม่ได้
คำว่าปัญญาจึงถูกสวมรอย ด้วยความฉลาดแบบ เฉโก ทุกวันนี้เลยถือว่าปัญญา เป็นความฉลาดทั่วไปหมดเลย ทำให้ปัญญานี้เสีย ทั้งที่ปัญญาคือความเฉลียวฉลาดที่ไม่มีกิเลส ถ้าสูงสุดเลยเป็นพระอรหันต์ก็ลดกิเลสได้หมดเลย ถ้าเป็นพระอาริยะตามลำดับ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี ก็มีปัญญาไปตามลำดับ มีความฉลาดที่ทำให้กิเลสหมดไปเรื่อยๆอย่างสมบูรณ์ นอกนั้นเป็นคำว่า เฉโกหมด แต่เขาไม่ใช้คำนี้แล้ว ไม่ยอมรับคำว่า เฉโกแล้ว จะใช้คำว่าปัญญาแทนหมด
คือเขารู้ พอเข้าใจว่า หมายถึงความฉลาดที่ไม่ดีก็ไม่ยอมรับ ก็อยากได้ความฉลาดที่ดีคือปัญญา แต่ความจริงแล้วไม่ได้มีปัญญา
ปัญญา ให้ชัดๆ ตั้งแต่ว่า
ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ปัญญาในเชิงไหนๆ ที่คิดทัน
อาตมาคิดเริ่มต้นสูตรหลักคือ ศีล สมาธิ ปัญญา และปัญญาจะเกิดขึ้นได้ต้องเกิดจากกระบวนการ 6 ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ต้องมี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ องค์แห่งมรรค สัมมาทิฏฐิ ต้องปฏิบัติโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 และพัฒนาสัมมาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิจะเจริญขึ้นเป็นพลวัตไป เสริมให้เกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ เป็นปัญญาพละในที่สุด จะเป็นอย่างนั้นตลอดไป เป็นความหมุนรอบเชิงซ้อนในกระบวนการปฏิบัติ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ต้องมี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ องค์แห่งมรรค สัมมาทิฏฐิ
ปัญญาจะต้องเกิดจากการปฏิบัติมรรค ถ้าไม่มีการปฏิบัติมรรคเป็นสัมมา
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
เกิดอินทรีย์ 5 พละ 5 ปัญญาเกิดขึ้นง่ายๆไม่ได้ ถ้าแค่แยกแยะ ปัญญากับเฉกาไม่ออกก็ไม่มีทางเกิดปัญญา ปัญญาจะมีลักษณะแตกต่างอย่างไร แค่ปัญญาโลกุตระก็ไม่ชัดเจน ปัญญาไม่มีโลกียะ คนที่ฉลาดสามารถร่ำรวยเอาเปรียบเอารัด สามารถอะไรต่างๆนานา เก่งยอดทางโลกเป็นโลกจินตา ทั้งหมดความรู้ทางโลก ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นปัญญาเลย
คิด คอมพิวเตอร์มาได้อย่างเก่ง แพร่หลาย เป็นสิ่งเสพติดทั่วโลกคือสมาร์ทโฟน คือสิ่งเสพติดที่ร้ายแรงที่มากในโลก ไม่ผิดกฎหมายค้าขายกัน เอาไปใช้ต่อหน้าต่อตา เป็นสิ่งเสพติดที่ร้ายแรงมากขณะนี้
เป็นความเสื่อมของสังคมโลกที่ถึงขีดแล้ว มันมีประโยชน์ แต่มันงมงายแล้ว ติดยึด เอาจริงเอาจัง ถ้าอาตมาจะใช้ก็รู้ว่ามีประโยชน์อย่างไร อาตมาทำไม่เป็นหรอก แต่ก็อาศัยพวกเราก็ใช้ได้แล้ว เหลือแหล่ แค่อาตมาใช้นิดหน่อยก็คุ้มกินคุ้มใช้ ไม่ต้องไปใช้มากมาย แต่เสพติดกัน ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรมากเอามาทำพิษภัยให้กับตัวเองอย่างร้ายกาจ มีความเป็นโทษแต่เอาประโยชน์มาครอบงำเป็นความหลง จริงๆแล้วไม่ใช่ประโยชน์ มันหลงผิด มันเป็นโทษเสียมากกว่ามาก แต่ก็ไม่รู้จะไปห้ามอย่างไรห้ามไม่ได้
มาพูดถึงปัญญา
ปัญญานี้เป็นภาษาบาลีมีเฉพาะในศาสนาพุทธ ศาสนาเทวนิยมใดๆ ในโลก ศาสนาที่มีพระเจ้าเอาคำว่าปัญญา ภาษาบาลีตัวนี้ไปใช้ผิดหมด ไม่ใช่ เขามีแต่เฉโกทั้งนั้น แม้แต่ชาวพุทธเองก็ยังใช้คำว่าปัญญาอย่างผิดเพี้ยนมิจฉาทิฐิ ก็เฉโกเหมือนกัน เพราะเข้าใจสัมมาทิฏฐิไม่ได้
ปัญญาจะเกิดได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาจัตตารีสกสูตร ข้อ 258
จะเกิดปัญญาได้ต้องมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิมี 10 ข้อ ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 มหาจัตตารีสกสูตร ข้อ 257 ก่อนจะเป็นปัญญาต้องสัมมาทิฏฐิก่อน
สัมมาทิฏฐิ ต้องเข้าใจอย่างถูกต้องในคุณสมบัติ ถ้าสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อนี้ไม่ได้ เข้าใจ 10 อย่างนี้ไม่ได้ คุณไม่มีทางที่จะไปสร้างปัญญาได้เลย
ไม่มีทางบรรลุธรรมพระพุทธเจ้า แม้จะนั่งสมาธิจนก้นแตก เพราะสัมมาทิฏฐิ 10 นี้ไม่ได้ให้ไปนั่งหลับตา แต่ให้ไปลืมตาปฏิบัติทั้งนั้น ตั้งแต่ทาน ข้อที่1 เลย คุณไปหลับตาทำทานนี้ไม่มีหรอก การไปนั่งหลับตาสะกดจิตจะได้ทำทานที่ไหน
ต้องรู้ว่าทำทานอย่างไรจึง อัตถิทินนัง ทานอย่างไรจึงมีผลถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าพาทำ การทำทานทุกวันนี้จะพูดได้เลยว่า จะหาสักครึ่งวัดได้มั้ย ไม่ต้องเอาเต็มวัดหรอก ที่สอนทำทานแล้วมีอานิสงส์เป็น อัตถิทินนัง
หมายความว่าอะไร หมายความว่า คุณสอนทาน พากันทำทานแล้วจิตคุณไม่ได้ทาน จิตคุณไม่ได้มีอานิสงส์ในการทาน จิตคุณมีโทษในการทาน แทนที่จะได้กุศล ไม่ต้องพูดถึงบุญเลย
โดยเฉพาะวัดธรรมกาย มีแต่อกุศลมีแต่นรกทั้งนั้นสอนให้ได้นรก คือ ไปสร้างภพ สร้างชาติ สอนทำทานแล้วให้อธิษฐานให้ได้สวรรค์ว่าเราทานอย่างบริสุทธิ์ใจ ความบริสุทธิ์ใจนี้อธิบายไม่เป็น บริสุทธิ์ใจคือให้ทานยังไม่มีกิเลสอยากได้อยากมีอะไรกลับมาเลย
อย่างธรรมกายให้ทานแล้วก็จะได้หวังอะไรกลับมาตอบแทน แท้จริงการทานต้องไม่มีองศาแห่งความโค้งสักนิดเลย ให้ตรงแหน้วเลย เป็นไอโซโทป เป็นนิวเคลียร์ฟิชชัน
คุณอ่านจิตของคุณเป็นให้แล้วตรงแน่วเลย ไม่มีองศาแห่งความโค้ง ไม่เกิดพลังงานจิตที่เกิดองศาโค้งเลย ตรงไปเลย นี่เรียกว่าไม่มีสาเปกโขเลย ตรงแน่วอย่างเดียวให้เป็นให้ บริสุทธิ์ ไม่มีความโค้งงอแม้สัก .000001 องศาเลย จะลากไปกี่0 ก็ตามใจไม่มีโค้ง มีแต่ตรง ให้อย่าง 0 องศาเลย
การให้อย่างนั้นจึงจะเรียกว่าการทานที่มีอานิสงส์เต็ม แต่ถ้าคุณให้ไปร้อยหนึ่ง คุณก็ยังหวังกลับคืนมา 90 ก็ยังมีอานิสงส์เรียกว่าส่วนบุญ 10
อธิบายส่วนบุญ เขาอธิบายส่วนบุญว่าเป็นสมบัติมันเป็นเรื่องผิด ส่วน เรื่องส่วนบุญนี้เป็นวิบัติ การได้ส่วนบุญคือทำทานไป 100 ก็ยังได้คืนมาสัก 90ก็เลยได้ให้ไป 10 สละไป 10 เสียไป 10 การเสียนั่นแหละคือการได้ ส่วนบุญที่ได้คือการเสีย
สัจจะทุกวันนี้ เมื่อไม่เข้าใจคำว่าบุญคือสิ่งที่เป็นวิบัติ และเป็นวิบัติที่เป็น เอกังสเสนะด้วยนะ คือ เป็นวิบัติถ่ายเดียวทิศเดียว วิบัติแล้วทำเสร็จ จบ เป็นระเบิดปรมาณูที่ทำลายกิเลสเสร็จ พลังงานปรมาณูหมดไปไม่มีระเบิดลูกนั้นอีกแล้ว บุญลูกนั้นก็สูญหาย พร้อมกับที่ทำลายกิเลสได้สำเร็จ บุญก็ทำหน้าที่เสร็จจบ ถ้าทำลายไม่หมด เหลือเศษต้องเอามาทำลายต่ออีก เศษบุญต้องเอามาโยนต่อ เอามาทิ้งระเบิดทำลายสิ่งที่เหลือเศษอีก เหลือเท่าไหร่บุญก็ทำต่อ จนกว่าจะหมด 0 บุญก็หมดด้วย ปุญญปาปปริกขีโณ บาปหมดบุญหมด ไม่มีบุญไม่มีบาป
ที่อาตมาพูดอยู่นี้มันน่าเหนื่อยไหม เหนื่อยแทนอาตมาบ้างไหม…
มันแก้ได้ยากมากศาสนาพุทธทุกวันนี้ได้เบี้ยวบาลีไปมาก ที่พูดมาตั้งแต่ ศีลสมาธิ ปัญญา บุญ กาย ที่นับไม่ถ้วนแล้ว คือไม่รู้จะเอาคำไหนถูก แล้วคำสำคัญๆทั้งนั้นนะ แล้วมันจะไปเหลืออะไรศาสนาพระพุทธเจ้า เพราะมันได้ผิดสัจจะของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้แล้วเอามาเปิดเผย พูดไปแล้วก็น่าเห็นใจ น่าหมั่นไส้ ว่าอวดดีอวดเก่ง ว่าถ้าอย่างนั้นเถรสมาคมทั้งหมดก็ผิดสิ ...ถูกแล้ว
ฟังอาตมาแล้วเถรสมาคมจะมาแก้ไขหรือไม่ องค์ไหนกล้าทำแล้วก็ไม่ต้องมาบอกอาตมาหรอก ถ้ายิ่งกล้าออกมาบอกว่า ทำอย่างโพธิรักษ์นี่แหละ สงสัย คิมจองอึน หยุดทดลองนิวเคลียร์แหงๆเลย ถ้าเถรสมาคมหยุดแล้วมาเอาอย่างพระโพธิรักษ์ คิมจองอึน สั่งหยุดพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์ปรมาณูแล้ว จะมีสักองค์ไหม
คำว่าปัญญากับเฉโก สองคำนี้ หากแยกสภาวะที่แตกต่างของสองคำนี้ เรารู้ตัวเองว่าเรายังใช้ความฉลาดแบบ เฉโกอยู่นะ แล้วมาพัฒนาตัวเองให้มีความฉลาดแบบปัญญาจริงๆบ้าง สังคมโลกสังคมประเทศชาติ สังคมไหนก็ตามจะได้เป็นสุข เช่นสังคมชาวอโศก ได้อยู่อย่างนี้ก็ดีแล้ว
อาตมาไปเจอบทความ ของ ดร.วิวัฒน์ชัย อัตถากร ที่เขียนในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ อาตมาทุกวันนี้ก็อ่านหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ แนวหน้า ผู้จัดการ 3 ฉบับเป็นหลัก นอกนั้นก็ไม่ค่อยมีเวลา
อาตมาอ่านแล้ว เขากล้าหาญ ดร.วิวัฒน์ชัย อัตถากร เป็นนามสกุลทางอุบลฯนี่แหละ เหล่ากอท้าวคำผง กล้าที่จะประกาศว่า “สันติอโศกโมเดล” ว่าทำไมรัฐบาลไม่เหลือบแล เอาอย่างสันติอโศกโมเดลนี้บ้าง ก็ทำมา 30 40 ปีแล้ว ในหลวงท่านก็ตรัสอันนี้ เศรษฐกิจพอเพียง เอาแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา สอดคล้องกับในหลวง แล้วก็พูดกันโก้มากว่า ทำตามคำพ่อสอน อะไร ศาสตร์พระราชา ก็พูดอยู่นั่นแหละ เราทำมามากมาย เราทำมา 30-40 ปี ทำตามศาสตร์พระราชา ทำตามพ่อสอน ทำแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เศรษฐกิจพอเพียง หรือจะเรียกแค่เศรษฐกิจพอเพียงก็ได้ ทำไมไม่มาดูสันติอโศก model บ้าง ดร.วิวัฒน์ชัย อัตถากร นี้กล้าที่จะเปิดเผยต่อสาธารณะว่าเห็นด้วยเห็นดีกับวันนี้
ผู้ที่รู้นั้นมีอยู่ไม่น้อย คอลัมนิสต์ต่างๆก็รู้ สื่อสารมวลชนต่างๆก็รู้อยู่เยอะ หรือนักวิชาการนักรู้ก็พอ แต่ไม่กล้ามารับรองอโศก ไม่รู้เขาจะสะทกสะท้านต่อสังคม ไม่มีกำลัง 4 ก็เลยไม่พ้นภัย 5 กลัวสังคมจะตำหนิ สะทกทะท้านต่อคำติเตียนของหมู่ใดอื่นๆ อะไรพวกนี้ ซึ่งเข้าหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสไว้ทั้งนั้น แต่ไม่กล้า เพราะไม่มีปัญญาไม่มีพลัง 4 ไม่มีพลังปัญญา มีแต่พลังเฉโก
พลังปัญญาไม่มีมากพอเพียงจะมารับรองสนับสนุน คือผู้ที่มีปัญญานี่ต้องเป็นคนเป็นกลาง คนเป็นกลางต้องเข้าข้างบัณฑิตต้องเข้าข้างคนดี ถ้าคนเป็นกลางไม่เข้าข้างคนดีที่เรียกว่าคนเป็นกลางที่ยัง
1. เพราะมิจฉาทิฐิ ว่า คนเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างคนดี คนเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างใคร ตั้งอยู่กลางๆไม่เข้าข้างชั่วหรือดี อยู่ไปกลางๆนี้ นั่นคือ มิจฉาทิฏฐิ
2. กลัวเสียลาภยศสรรเสริญหากเข้าข้างคนดี กลัวเสียโลกธรรมก็ไม่กล้า
3. ไม่กล้าเพราะไม่รู้ ไม่รู้ว่าใครถูกใครผิดใครดีใครชั่ว ก็เลยอยู่เฉยๆ กลางโดยที่ว่าไม่รู้จะทำอย่างไร มันไม่รู้เฉยๆ ก็เลยจำเป็นต้องกลาง ไม่รู้อะไรดีอะไรชั่วอะไรถูกอะไรผิด นี่คือคนโง่ เป็นกลางแบบโง่ๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน
ส่วนคนที่เป็นกลางอย่างกลัวจะเสียลาภ ยศ สรรเสริญนั้นรู้ว่าอะไรถูกอะไรดี แต่ไม่กล้า ส่วนคนเห็นผิดนั้น เห็นว่าคนเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างใคร แล้วรู้ว่าใครถูกใครผิดใครดีใครชั่ว แต่มิจฉาทิฏฐิว่าคนเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างใคร เราไม่มีพลังอะไรเลยเราก็เฉยๆ คนนี้ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคุณค่าอะไรเลย
คนที่จะรู้ว่าอะไรชั่วอะไรดี ก็ต้องช่วยคนดี เข้าข้างคนดี ยิ่งคุณเป็นคนที่มีเครดิตทางสังคม ยิ่งเข้าข้างไหน ข้างนั้นก็ได้น้ำหนัก ต้องเข้าข้างคนดี คนดีจะได้มีน้ำหนัก มันจะได้ถ่วงสังคม แต่เพราะว่ามิจฉาทิฏฐิ สังคมก็เลยช้าไปไม่ออก รู้ว่าดีก็ไม่เข้าข้าง ไม่ส่งเสริม ถ้าส่งเสริมคนดี ความดีไปด้วยกัน น้ำหนักของความดีก็จะไปได้ไกลได้เร็ว
ในความเป็นกลางที่ว่าแค่นี้ ก็ยังมีความมิจฉาทิฐิหรือกลัวอยู่ ความเป็นกลางที่ถูกต้องที่จะมีประโยชน์ความเป็นกลางที่จะมีปัญญา ปัญญาปาสาโท คือ ผู้มีปัญญาที่อยู่ข้างบนเหมือนกับมองลงมาจากข้างบนปราสาทก็จะมองเห็นกว้างแบบ Bird eye view มองจากยอดปราสาทลงมา ถ้าไม่มองโดยองค์รวมก็จะมองเห็นแต่บางส่วนไม่เห็นทั้งหมด
น่าเห็นใจ บางคนก็อยากมองแต่มองไม่เป็น ส่วนคนที่มองออกรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่เพราะว่ากิเลสตัวเองยังเป็นไม่ได้ ดังที่รู้ ดั่งที่ชาวอโศกมาเป็น มาเป็นคนจน มาขาดทุน อย่าไปเอากำไร มักน้อยสันโดษให้มารับใช้ประชาชน มาเสียสละ มาเป็นคนมีวรรณะ 9
วรรณะ 9 เป็นตัวหลักของพระพุทธเจ้า มี
1. เลี้ยงง่าย (สุภระ)
2. บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
3. มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ)
4. ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)
5. ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)
6. เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)
7. มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)
8. ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9
9. ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ตนเองสร้างมากๆ แล้วให้ผู้อื่นมากๆ เราเอาไว้แค่พอกินพอใช้ สันตุฏฐิ ใจพอ ไม่สะสม อปจยะ ใจพอสันตุฏฐิ แต่แปลเบี้ยวบาลีว่าสันโดษคือ พึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ปัดโธ่! ไปถามบิลเกตส์หรือเศรษฐีคนไหนสิว่าพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ไหม ไปถามคุณเจริญก็ได้ ไม่ต้องออกนามสกุล เดี๋ยวจะหาว่าหมิ่นประมาท ไปถามว่าร่ำรวยขนาดนี้พอใจไหม เขาว่าต้องหยุดดื่มเหล้าขณะขับรถ แต่ก็ผลิตเหล้าออกมาขาย
ผู้ที่ยังไม่รอบถ้วนชัดเจนยังไม่ชัดเจนเรื่อง เฉโก กับปัญญาจึงส่งเสริมเฉโก ไม่เข้าข้างปัญญา
เราลูกพระพุทธเจ้า ศึกษาให้สัมมาทิฏฐิแล้วมาเดินตามพระพุทธเจ้า มาเดินทางด้วยวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ศีลใดที่เราทำได้แล้ว คนอื่นจะเห็นว่าสุดโต่งแต่เราทำได้สบายแล้ว ไม่เคร่ง เป็นปกติธรรมดาไม่ฝืน เป็นปกติเป็นของมันเอง บริสุทธิ์ในศีลด้วยตัวมันเอง
มีอาการน่าเลื่อมใส กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมน่าเลื่อมใส ในผู้รู้นะ แต่ผู้ที่ไม่รู้จะหาว่าดราม่าหาเสียง แต่คนที่ทำได้จริงจะทำอย่างจริง
ไม่สะสม เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่มาก คนที่ยอดขยัน อันที่9 วิริยารัมภะ สร้างแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ไม่เป็นพิษภัยไม่มอมเมา ไม่ไปทำร้ายกาจอะไร ทำสินค้าที่พ้นมิจฉาวณิชชา 5
1. การค้าขายอาวุธ (สัตถวณิชชา)
2. การค้าขายสัตว์มีชีวิต (สัตตวณิชชา)
3. การค้าขายเนื้อสัตว์ (มังสวณิชชา)
4. การค้าขายสิ่งมอมเมา (มัชชวณิชชา)
5. การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ (วีสวณิชชา)
(พตปฎ. เล่ม 22 ข้อ 177)
ประเทศใดที่สร้างอาวุธขายอยู่คือประเทศสร้างนรก ค้าสัตว์เป็นก็เป็นสัตว์นรก ค้าเนื้อสัตว์ก็เป็นสัตว์นรก ค้าสิ่งมอมเมา สิ่งเป็นพิษก็อบายมุข
ประเทศไทยหากศึกษาและทำให้พ้นมิจฉาวณิชชา 5 จะเจริญแน่นอน ไม่ต้องไปค้าขายหรอกสิ่งเหล่านี้ ให้คิมจองอึน ให้โดนัลทรัมสร้างแข่งกัน
คำว่าสร้างอาวุธคือสร้างขึ้นมาเพื่อประหัตประหารคน อาวุธเป็นการสร้างเครื่องมือเพื่อประหัตประหารคน ถ้าสิ่งที่ประหัตประหารสัตว์ ก็เป็นเครื่องมือล่าสัตว์ แต่นี้เครื่องมือฆ่ามนุษยชาติ รู้ทั้งรู้ตั้งแต่เจตนาจะทำ ยิ่งทำให้ร้ายแรงยิ่งบาปกินหัวหนัก แล้วเขาก็ไม่รู้กันแล้ว
ผู้ที่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้าในโลกนี้มี 190 หรือ 200 ประเทศ ได้ศึกษาศาสนาพุทธ แล้วเข้าใจมิจฉาวณิชชา 5 ประเทศจะอยู่สงบสุข จะสบาย อุดมสมบูรณ์กว่านี้เยอะ ถ้าแรงงานมาสร้างสิ่งที่ไม่เป็นโทษภัย
สิ่งมอมเมา แม้แต่เครื่องสำอาง เป็นของแบรนด์เนม อะไรต่างๆที่มามอมเมาทั้งสวยโก้หรูหรา เหาะได้ มอมเมากัน แล้วส่งเสริมกันจัง
สิ่งที่เป็นพิษ วีสวณิชชา จนกระทั่งเดี๋ยวนี้เป็นเครื่องกินเครื่องใช้ก็เป็นพิษ เอาที่สุด วนจนสิ่งเสพติดที่ถูกกฎหมายขายกันทั่วโลก วนจนกระทั่งเป็นโทษภัยแค่ไหน
อาตมาพูดไปนี่ พูดอย่างสบายสะอาด ก็ไม่เคยมีใช้สักอัน ก็รู้ว่ามีประโยชน์อยู่ ก็ว่าไป ก็ใช้บ้าง แต่โทษมันอยู่ในนั้น มหาศาล ต้องออกกฎระเบียบควบคุมให้ดี มันเป็นโทษภัยมหาศาล หากออกกฎระเบียบควบคุมไว้ได้มากเท่าไหร่จะดี จะได้ลดลงบ้าง หากปล่อยปละละเลยจะเป็นโทษภัยมหาศาล
สังคมทุกวันนี้ทางด้านศาสนาก็ตาม อาตมาเทศน์อยู่ ยาก กลับไปต้านและค้านแย้งกับสังคมโลกที่เขาว่าเจริญ อาตมารู้ว่าเจริญในมุมหนึ่ง และมีความเสื่อมในมุมหนึ่ง ก็ต้องว่าในความเสื่อม มุมเจริญก็ไม่ว่ากันอนุโมทนาสาธุ
ทุกวันนี้อาตมาพูดธรรมะได้ยากเพราะคนเข้าใจ หลงแบบโลกๆไปติดยึด ตามโลก หรูหรานิยม ฟุ้งเฟ้อนิยม ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ก็เลยต้องพาให้ทำสิ่งที่พอจะเป็นไปได้ คนที่มีดวงตาปัญญา มาเอามาลดละก็ได้เท่านี้
พระพุทธเจ้าสมณโคดมอุบัติขึ้นมา แล้วท่านก็พยายามประกาศศาสนา ถึงวันเวลาที่จะต้องมีผู้บรรลุธรรม แล้วแสดงตัว เรียกว่ามาฆปุณมี ก็ปรากฏได้มา 1250 องค์ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่น้อยที่สุดแล้ว
หลังจากนั้นมาแล้ว อาตมาก็ว่าชาตินี้อาตมามีอรหันต์ 9 รูปก็บุญแล้ว 1250 นี้ไม่บังอาจ ให้ได้สัก 9 รูป พอถูไถก็คงได้ ตอนนี้ก็พอมี ก็ระบุไปบ้าง แต่ไม่อยากระบุมาก ถ้าไม่ระบุบ้างจะหาว่าไม่มีตัวอย่าง พูดไปก็หาว่าอวดอุตตริมนุสสธรรม
อาตมาพูดอย่างไม่ได้ เละเทะ พูดอย่างรู้จักกาละ ไม่ได้พูดเล่น แต่พูดอย่างระมัดระวัง ก็ต้องเปิดเผย ทำไมเปิดเผยธรรมะพระพุทธเจ้าจึงกลายเป็นธรรมเดา อรหันต์เดา
ทุกวันนี้ในโลกสังคมพุทธ จึงมีแต่อรหันต์เดา พระพุทธเจ้าไม่เคยบอกว่า เรามีอุตริมนุสธรรมแล้วไม่ควรเปิดเผย หรือ เปิดเผยไม่ได้ ในโลหิจสูตร
แล้วท่านก็บอกไปว่า ผู้ไม่บอกนั่นแหละ มันไปไม่รอด ในปัจเวกขณ์ข้อที่10 เราบรรลุ
10. ญาณทัสนะวิเศษอันสามารถกำจัดกิเลส เป็นอริยะ คือ อุตริมนุสสธรรมอันเราได้บรรลุแล้ว มีอยู่หรือหนอ ที่เป็นเหตุให้เรา ผู้อันเพื่อนพรหมจรรย์ถามแล้ว จักไม่เป็นผู้เก้อในกาลภายหลัง . (อุตตริมนุสสธัมมา อลมริยญาณ ทัสสนวิเสโส อธิคโต โสหัง ปัจฉิเม กาเล สพฺรหฺมจารีหิ ปุฏฺโฐ น มังกุ ภวิสฺสามีติ) (พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 48)
อย่างอาตมาพูดไปนี้ คือ เขาว่า พระรูปนี้พูดแต่อภิธรรมพูดถึงนิพพานแล้วได้บรรลุธรรมขั้นไหน อาตมาก็เปิดเผย อย่างไม่ได้อยากอวด แต่ในใจเขามีแล้ว แล้วเขาก็ไม่กล้าถาม เพราะเขาได้ถูกสอนว่าถามไม่ได้เดี๋ยวอาบัติปาราชิก
คนที่มีคุณธรรมนั้นในตัวเองแล้ว บอกไปเท่าไหร่ก็ไม่มีปาราชิก อย่างเก่งก็เป็นปาจิตตีย์ แล้วท่านก็มีวงเล็บไว้ว่า ปาจิตตีย์ ถ้าจะอาบัติก็คือ ไปประกาศแก่คนที่ไม่สามารถรู้ธรรมะได้ เป็นอนุปสัมบัน
อาตมาก็มีคนบอกว่า บรรยายต่อ อนุปสัมบัน ต้องปาจิตตีย์ สมัยนี้การสื่อสารเป็นโกลบอลไลซ์ฆ globalization ก็ต้องสื่อสารไป เขาก็บอกว่าไม่ผิด ซึ่งไม่ผิดหรอก ผู้ที่เปิดฟังนี้เขาต้องเป็น อุปสัมบัน แต่พวกอนุปสัมบัน เขาไม่เปิดฟังหรอก เปิดผ่านไปเท่านั้นแหละ ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นอาบัติสำหรับอาตมาออก คนที่จะเปิดฟังเขาต้องยินดีพอใจจะฟัง ถ้าไม่ยินดีพอใจ ก็ไม่เปิดฟังหรอก หรือพวกที่จ้องจับผิดก็ต้องอยากฟัง
ที่พูดนี้ไม่ได้กระทบอาบัติอะไรเลย ถ้าอธิบายให้ลึกซึ้ง ไม่มีอาบัติ ที่ไม่อาบัติ เพราะอาตมามีใจจริงไม่มีสาเฐยจิต ไม่ได้แสดงธรรมเพื่ออยากให้ใครมาเคารพนับถือ หรืออยากได้ลาภยศสรรเสริญ หรือให้คนว่าเราเก่งเราดี อาตมาอ่านใจเป็น ที่พูดนี้ ก็สอนเพื่อให้อ่านใจให้เป็น แล้วทำใจเป็นได้ด้วย ทำใจในใจเป็นและทำใจในใจได้ถึงจะบรรลุธรรม
ถ้าทำใจไม่เป็นเป็นมิจฉาทิฐิ บอกว่าทำสมาธิของพระพุทธเจ้าเข้าไปนั่งหลับตาสะกดจิต เป็นการทำใจในใจเหมือนกัน ย่างหนอก้าวหนอ แต่เป็นสมถะ ทำใจในใจแต่ไม่เป็นอย่างพระพุทธเจ้าสอน
พระพุทธเจ้าสอนให้ทำใจในใจขณะที่คิดพูดทำ ทำอาชีพ ทำอย่างลืมตาในชีวิตประจำวัน สามัญ แต่ทำในกรอบแต่ละศีล เราทำเกี่ยวกับสัตว์กับของ
หนึ่ง เราจะเป็นอย่างไรกับสัตว์ทั้งหลาย จิตของเราจะเป็นผู้ที่มีเมตตามีความกรุณา หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งหลาย วางศาตรา วางอาวุธไม่ทำร้ายสัตว์ใดเลย คำว่า หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง คุณต้องเข้าใจว่า สัตว์คืออะไร
สัตว์คือ ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวก็คือสัตว์แล้ว จนถึงสัตว์ที่สูงสุดคือ พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นสัตว์ที่สูงสุดแล้ว พ้นความเป็นสัตว์ด้วย
เราหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง แม้แต่สัตว์เซลล์เดียว อย่าไปฆ่าอย่าไปทำร้ายกัน ถ้าเขาจะทำเลวทำชั่วก็เป็นเรื่องของเขา
เราจะไม่ฆ่าสัตว์ใดแม้แต่สัตว์เซลล์เดียว มีแต่พยายามช่วยกัน ช่วยกันตำหนิ ช่วยกันยกย่อง ช่วยกันให้ความรู้ อาตมาก็ต้องให้ตำหนิมาก เพราะว่าทำผิดมาก ยกย่องพูดน้อย เพราะพูดแล้วก็เข้าพวกตัวเอง
ผู้ใดเข้าใจปัญญาว่าคืออะไร แล้วมาสร้างปัญญา เริ่มจากเลิกเฉโก ตัวเฉโก เป็นมิจฉาทิฐิเป็นบาป เลิกเฉโก มาฉลาดแบบไม่มีกิเลส ถ้าเป็นความฉลาดที่มีกิเลสร่วมด้วยก็ไม่ทำ เลิกให้ได้
_หนูอ่อนตา ·อยากรู้เรื่อง อัดตาแต่ละอย่าง ขยายความให้ทราบได้ใหมค่ะ?
พ่อครูว่า... อัตตาคือกิเลสที่ยึดถืออยู่ ผู้ใดยังยึดถือตั้งแต่หยาบที่สุด คือโอฬาริกอัตตา อยู่ในกามภพ ภายนอก กิเลสอัตตานี้ อยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ตัวตนบุคคลเราเขาข้างนอกทั้งหมด ที่เรากระทบสัมผัสแล้วอยากได้อยากมี อยากตะกละตะกราม อยากได้ไปหมด แม้แต่ของเป็นพิษภัย ไม่รู้ของที่เป็นปัจจัยสำคัญ มีข้าว ผ้า ยา บ้าน เป็นบริขาร ก็ไม่ศึกษาตามลำดับ ต้องรู้ปัจจัยชีวิตต้องมีเครื่องประกอบบริหาร ทุกวันนี้ บริขารก็มากกว่าสมัยพระพุทธเจ้าแล้ว แว่นตา ดีไม่ดีคอมพิวเตอร์ก็เป็นบริขาร ถ้าเข้าใจจุดหมายองค์ประกอบในการยังชีพ เป็นผู้ที่ไม่มาก ลงมาหาน้อย อัปปิจฉะๆ ให้พอ ลดลงมาๆ ตามกถาวัตถุ 10
สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา ศีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสสนกถา
มาปวิเวก ให้สงบลง เราอย่าไปดิ้นแส่หาด้วยตัณหา ลดตั้งแต่ภายนอกจนถึงจิต ลดลง
อสังสัคคะ ไม่ต้องไปหลงไหลในสวรรค์ ลดลงมาตามลำดับ สวรรค์ขี้เก๊ สวรรค์อบาย สวรรรค์กาม หมดกามนรกสวรรค์ ก็เหลือรูปภพ มีสวรรค์นรกในรูปภพก็ลดรูปภพอีก ก็เหลืออรูปภพ ก็ลดสวรรค์นรกในอรูปภพอีกได้หมดก็เป็นอรหันต์
อ่านจิตตัวเอง มีปัญญารู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน อาตมาว่าอาตมาบรรยายธรรมะมาเกือบ 50 ปีแล้ว อาตมาว่าอาตมาอธิบายไปมากพอแล้ว ที่จะเอาไปปฏิบัติเป็นอรหันต์กันได้ อาตมาพูดอยู่ทุกวันนี้ ก็วนซ้ำซาก รายละเอียดที่ลึกซึ้งก็พยายามขยายความเพิ่มอีก ลึกละเอียดก็อยู่ที่โครงสร้าง ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ
หรืออีก 5 ศีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสสนกถา
มาทำให้พวกเรามักน้อยสร้างสรรเผื่อแผ่ อาตมาพาพวกเราทำได้ พึ่งพาตัวเองให้ได้ ทำให้มากให้เกินแล้วมีเหลือก็แจกจ่ายผู้อื่น ก็สบาย วิเวก วิเวก ไม่ใช่ไปนั่งในที่สงบไม่มีเสียง อย่างนั้นเป็นวิเวกของพวกหูหนวกตาบอด ไม่ใช่เป็นวิเวกที่มีปัญญา วิเวกพาซื่อ สงบแบบพาซื่อ
สงบคือ ไม่มีกิเลสเข้าไปกวนเลย เรียกอุปธิวิเวก สงบเพราะปราศจากกิเลส
แล้วก็ไม่หลงสวรรค์ อสังสัคคะ ท่านก็แปลพยัญชนะว่า ไม่คลุกคลีกับหมู่ท่านไม่กล้าแปลว่า ต้องเลิกสวรรค์ ไม่คลุกคลีสวรรค์ คือ ไม่คลุกคลีหมู่นรกสวรรค์ คือภพชาติ แต่ก็ไปหลงสวรรค์กัน
ทุกวันนี้แยกแยะสวรรค์นรกไม่ออก แยกภพชาติไม่ออก นรกก็ภพ สวรรค์ก็ภพ ต้องเดินดูให้ละเอียดลออ ลดลงมาอย่าเอาสวรรค์หยาบ สวรรค์ขั้นอบาย เช่นไปโกงทีละแสนล้านเป็นอบายมหาอบาย เลิกเสียที นรกกินหัวไม่รู้เท่าไหร่
เลิกโกงเอาเปรียบเอารัด เอาเครื่องมอมเมาขายให้คนจน ตนเองร่ำรวย ทำให้คนตกต่ำแล้วตัวเองก็รวย ทำให้คนเสื่อมแย่ตกนรกทั้งเป็น มีตายและพิการเยอะแยะ
มอมเมาอย่างหยาบที่พอรู้ก็ยังปล่อยปละ มอมเมาละเอียด เช่นมอมเมาในเรื่องเพลิดเพลิน หรือเอาชนะคะคาน เรื่องของการกีฬา
สังคมใดยุคใด ถ้าราคาค่าตัวของพวกบันเทิงและกีฬาราคาแพง นั่นคือความเสื่อม สังคมไหนที่ยังแพง สังคมนั้นคือความเสื่อม กีฬาการละเล่นเป็นอบายมุข หรือดาราดังค่าตัวแพง นั่นคือสังคมกำลังเสื่อม
อาตมาก็อดไม่ได้ที่ต้องลงน้ำหนักแรง ดัง เพราะอยากให้ไปได้ยินกระตุกต่อมสำนึกบ้างว่าให้ตื่นเสีย ไปส่งเสริมกีฬาการละเล่นไปส่งเสริมดาราสนุกสนานเพลิดเพลินขึ้นราคาค่าตัวกัน ทั้งทางตรงทางอ้อม มันคือความเสื่อมความโง่ จะพอมีปัญญา จะพอมีความเฉลียวฉลาดพอเข้าใจได้บ้างไหมนี่ หยุดส่งเสริมเสีย ไม่ต้องกลัวว่าประเทศจะไม่เจริญ อย่าไปกลัวว่าประเทศจะไม่ทันเขา เอาเวลาทุนรอนแรงงาน ไปส่งเสริมทางกีฬาการละเล่นบันเทิงเริงรมย์ โทรทัศน์การสื่อสาร ประเดี๋ยวก็มีข่าวกีฬาข่าวบันเทิง มากมาย แต่ข่าวที่ทำให้สังคมอยู่ดีกินดีไม่ค่อยจะออกไม่ค่อยจะสนใจ ถ้าข่าวอย่างโน้นตกไม่ได้เชียวนะ ข่าวกีฬาข่าวบันเทิงตกข่าวไม่ได้นะ เมื่อไหร่จะตื่นเสียที
พูดไปแล้วเหมือนอวดดียกตัวตนดูถูกดูแคลนผู้รู้เขาไปหมด แต่เขาก็ทำกันอย่างเต็มบ้านเต็มเมือง ก็ว่าเขาไปหมดสิ ใช่แล้ว พูดไปแล้วก็โดน
คนมาทำอย่างพวกเราทำนี้มีน้อย จนเกือบจะหาไม่ได้ แม้แต่ในสื่อสาร บอกว่าสื่อสารของวัด สื่อสารของศาสนา มีโทรทัศน์ดาวเทียมกันไม่รู้กี่ช่อง ทำเหมือนอย่างช่องบุญนิยมนี่ไหม อย่างเก่งก็เรี่ยไร แล้วเอาบุญมาขาย อธิบายบุญก็ผิด แยกแยะกุศลหรือบุญก็ไม่ออก ก็เลยไม่รู้จะพูดอย่างไร
ถามจริงๆ คุณเหนื่อยอย่างผมบ้างไหม
สมณะฟ้าไทว่า...รู้สึกว่าโพธิสัตว์ต้องเหนื่อย แล้วมันก็ยาก ผมเห็นความยากของพ่อครู ในหลวงก็ยาก
พ่อครูว่า..ในหลวงเหนื่อยทางรูปธรรม อาตมาเหนื่อยทางภายในเป็นจิตวิญญาณ มันเห็นตามได้ยาก ทุททัสสา ทุรนุโพธา ของในหลวงเห็นตามได้ง่ายกว่า ท่านอยู่ในฐานะหน้าที่ตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจน
สมณะฟ้าไทว่า..ของในหลวงทำให้คนพ้นทุกข์รูปธรรม แต่พ่อครูทำให้พ้นทุกข์ทางนามธรรม
พ่อครูว่า..พูดไปเหมือนทวงบุญคุณก็ขออภัย พูดไปเพื่อให้พวกเราเกิดปฏิภาณ เท่านั้นแหละ
ในวงการธรรมะ วงการศาสนา เป็นเครื่องชี้บ่ง ว่าในสังคมหรือในประเทศ ถ้าประเทศใดมีธรรมะ ประเทศนั้นเจริญ ก็ถ้ามีธรรมะลึกซึ้งถึงขั้นโลกุตระ ประเทศนั้นจะเป็นประเทศที่เจริญ แต่การเจริญนั้นก็อย่างที่ในหลวงได้ตรัส เราก็เจริญพอสมควร เราไม่เจริญก้าวหน้าแบบทั้งโลก เราไม่อยากเจริญแบบนี้ เพราะการ
เจริญแบบนั้นมันถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัวด้วย ในหลวงตรัสเป็นเรื่องโลกุตระ เป็นเรื่องอาริยชนคนมีภูมิปัญญาถึงจะฟังออก คนโลกียฟังไม่ออกหรอก
มีคนบอกว่าจะมาโหนในหลวง แต่อาตมาก็พูดมาตั้งแต่แรก ในหลวงท่านก็ตรัสมาเรื่อยๆของท่าน ก็มาสอดคล้องตรงกัน โดยที่ว่าสิ่งที่ตรงกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ชวนให้คนมาเอาสิ่งที่ถูกต้องดีงามอันเดียวกัน มันก็ต้องตรงกันจนได้แหละ มันไม่เป็นสองรอง ธรรมะไม่เป็นสองต้องเป็นหนึ่งตรงกันที่เป็นสมมติสัจจะ ส่วนปรมัตถสัจจะเป็นสัญญายนิจจานิ
อาตมาจำเป็น เพราะเขาผิดกันเยอะ ก็เลยต้องพูดว่าสิ่งผิด นิคคัณหะ หรือหนักไปทางตำหนิมาก ก็จำนนไม่รู้จะทำอย่างไร
ถ้าเผื่อว่าระบบของศาสนาพุทธในเมืองไทยไม่ผิด ประเทศชาติไม่เป็นอย่างนี้หรอก ทักษิณขึ้นมาใหญ่ไม่ได้ ยิ่งลักษณ์ขึ้นขึ้นมาเล่นมายากลจนบัดนี้ไม่รู้ว่าไปอยู่ไหน เหมือนกับธัมมชโย ถ้าเผื่อว่าถูกต้องมันไม่มีอันนี้เกิดขึ้นได้หรอก ธัมมชโยล่องหนหายตัว ยิ่งลักษณ์ก็ลองหนหายตัว มันไม่เกิดในประเทศไทย
มันจะเกิดนักมายากลตัวร้าย ได้เพราะประเทศชาติธรรมะของกระแสหลักระดับสังคมประเทศ ที่ไปยึดถือเป็นที่นับถือ ต้องใช้หลักเกณฑ์นี้ หลักเกณฑ์ที่ดีจริงๆนั้นสู้อิทธิพลไม่ได้ สู้สิ่งที่ผิดที่ครอบงำไม่ได้ ก็ไม่สามารถเบ่งอิทธิพลได้
สมณะฟ้าไทว่า..ขนาดเห็นการโทนโท่ปฏิเสธไม่ได้ก็ยังอยู่ไม่ได้
พ่อครูว่า..มันน่าเศร้าและน่าสังเวชใจประเทศไทยจริงๆ ตอนนี้เขาย้ายพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ นี่แหละประเทศไทยมันน่าเศร้าใจ เขาก็ต้านไม่ได้ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็จำนนมันเป็นไปตามโลก สุดท้ายก็เหนียวไม่พอ
สมณะฟ้าไทว่า...คนใหม่นี้เขาแซวกันว่าเข้ากันได้เพราะจบเปรียญมา แต่พวกนักข่าวว่าคนละประเด็น ที่เขาต้องการคือต้องการมาจัดการสิ่งผิด
พ่อครูว่า...เขาพูดเรื่อยไปอย่างนั้นแหละ พูดไปก็เป็นไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ พอจะรู้กัน จริงๆแล้วอาตมาว่าสังคมยุคนี้ ก็ยังแข็งขืนได้ พอสมควรทีเดียว อาตมาบอกด้วยใจจริงเลยนะว่า อาตมาเกิดมาในยุคนี้ ในสังคมประเทศ เกิดมาก็ทัน ประชาธิปไตยเกิดปี 2475 ก่อนอาตมาเกิด 2 ปี อาตมาก็มีอายุยืนยาวกับประชาธิปไตยมา ก็รู้เห็นมาตามประสาจนถึงทุกวันนี้ ก็รู้ว่ารัฐบาลตั้งแต่ยุคโน้นจนถึงยุคนี้ รัฐบาลไหนก็ตาม ไม่มีรัฐบาลไหนทำได้ดีเท่ากับรัฐบาลนี้ ปราบได้ โดยเฉพาะปราบ ส่งเสริมนั้นมันยากอยู่แล้ว เพราะตัวที่ต้องปราบยังหนักอยู่ ก็เลยส่งเสริมยาก
อย่างเช่น อาตมายังส่งเสริมตัวเองไม่ขึ้น ยังถูกกระแสของสังคมประเทศชาติกดเอาไว้อยู่ เอาตัวเองแทบไม่รอด แล้วเราจะต้องปราบก่อน น้ำมันเน่าจะต้องเอาน้ำใสมาล้างน้ำเน่า ก็ต้องพยายาม จะไปทำน้ำใสโดยที่น้ำเน่าอยู่ยังไม่ได้ ความจริงแล้วทำน้ำเน่าให้หายมันก็ใส มันก็อยู่ในตัวของมันเอง
สรุปแล้ว มาถึงยุคที่มันเน่าจนถึงขีดแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้อง ถ้าเราเอาน้ำที่ใสถึงขนาดหนัก มาล้างน้ำเน่าที่เน่าขนาดหนัก จ้างก็ไม่ได้ผลอะไรเลย เราจึงต้องผสมให้มีน้ำหนักของน้ำเน่าพอสมควร อาตมาจึงต้องจำนน ที่ตัวเองต้องไม่งาม คือเหมือนกับเน่า แต่ขอใช้ภาษาบัญญัติแค่นั้น เอามาล้างเน่า ไม่เช่นนั้นมันไม่พอน้ำหนักมันไม่ได้ มันจึงเอา ในสำนวนภาษาศาสนาเรียกว่าใช้ตัณหาล้างตัณหา
จึงต้องเอาตัณหาที่หยาบมาล้างพอสมควร มาล้างตัณหาที่หยาบมาก จะเอาสำลีมาเช็ดน้ำทุเรียนให้ราบเรียบนั้น เมินเสียเถิดอย่าคิดถึง
สองพันกว่าปีนี้มันแทบไม่เหลือเชื้อ แถมยังเอาเชื้อโรคมาใส่อีกต้องเอาเชื้อโรคออกก่อนที่อยู่ในน้ำเน่า หลายชั้นมาก ต้องเอาเชื้อโรคออกก่อน มันหนักหนาสาหัสจริงๆ ไม่ใช่ใส่ความ ไม่ได้แก้ตัวด้วย แต่เขาหาว่าอาตมาพูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น แต่อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเลี่ยงไม่ได้ ก็เลยต้องบอกว่า..สู้ๆ
สมณะฟ้าไทว่า..วันนี้พ่อครูพูดถึงเรื่องปัญญา เทียบเคียงปัญญากับ เฉโก ต้องเลิกจากเฉโกจึงเป็นปัญญาได้ ปัญญาต้องเกิดจากสัมมาทิฏฐิ 10 ใครจะไปนั่งหลับตาทำทาน ประเด็นที่ชัดเจนดี จะต้องลืมตาจึงจะทำทานได้
พ่อครูว่า...แถมอีกนิดนึงธรรมะทุกอย่างนั้นย่นย่อไปที่ทานตัวเดียว บารมี 10 ทัศ ในทุกบารมีจบที่การทาน ต้องทานเท่านั้น จะเป็นที่ปฏิบัติธรรมได้ต้องมีเมตตากับอุเบกขา มีอุเบกขาเป็นฐานพัก มีเมตตาเป็นฐานทำงาน พระอรหันต์มีเมตตากับอุเบกขาเพื่อให้คนรู้จักทาน
สมณะฟ้าไทว่า..ต้องทำใจในใจเป็นจึงจะทำได้ วันนี้พ่อครูปรารภบ่อยว่าเหนื่อย ผมก็เห็นใจด้วย ดูพระราชกรณียกิจของในหลวงสละทั้งเหนื่อยเหลือเกิน พ่อครูนั้น ทำงานไปเสียสละไปแล้วยังถูกว่าเสียด้วย เหมือนกับวันนี้ที่โทรทัศน์บุญนิยมมีรายการที่บอกว่ามาปฏิบัติธรรมได้อะไรครับ พระพุทธเจ้าตรัสว่าก็ไม่ได้อะไรนี่แหละ
อาตมาเห็นพ่อครูทำงาน บางอย่าง ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรต้องเป็นบารมีของพระครูธรรมเท่านั้น เราก็พยายามช่วย เท่าที่เราสามารถทำได้ พ่อครู ปรารภว่าสมัยพระพุทธเจ้ามีพระอรหันต์ 1250 รูป สมัยนี้ขอเพียง 9 รูป ก็หืดขึ้นคอ ก็ต้องมาช่วยกัน
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=1cRoqgUA-_fUfFvw2gBwGcY9eDg0aW-rs56e-QGEoKug
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น