วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

# เจอปุ๊บรักปั๊บนั่นแหละตัวเวร

เจอปุ๊บรักปั๊บนั่นแหละตัวเวร


“เจอปุ๊บรักปั๊บนั่นแหละตัวเวร!!!”  ใครหลายคนคงเคยได้อ่านโศลกธรรมนี้ของพ่อครูตามพุทธสถานต่างๆของชาวอโศก วันนี้มีหลักฐานทางโลก ที่เขาทำวิจัยเรื่องนี้กันมาให้อ่าน ว่า สิ่งที่พ่อครูให้โศลกนี้ไว้ว่า เป็นเรื่องจริงที่มีคนพิสูจน์ตามมาเรื่อยๆ…การศึกษาในเรื่องนี้ ถูกเผยแพร่ในวารสารงานวิจัย The International Association for Relationship ศึกษาจากการออกเดตกัน 500 ครั้ง ของนักศึกษาชาวดัตช์และชาวเยอรมัน อายุเฉลี่ยที่ 25 ปีจำนวน 200 คน
Sorry, but “Love at First Sight” Isn’t Love at All—It’s Actually Lust
Love (at first sight) is dead.
BY SAM BENSON SMITH
เป็นงานวิจัย ของ SAM BENSON SMITH ที่กล่าวเปิดหัวไว้ว่า เสียใจด้วย,แต่ “รักแรกพบ”นั้น ส่วนใหญ่แล้วมันเป็นเพียงความปรารถนาทางเพศเท่านั้น “รัก(แรกพบ)ได้ตายไปแล้ว”


“คุณเชื่อในรักแรกพบมั้ย?” เป็นคำถามที่ใครหลายๆ คนต้องเคยเจอกันมาก่อน กับการมองปุ๊บปิ๊งปั๊บ รักเลยอะไรทำนองนั้น


แท้จริงแล้วมันก็อาจไม่ใช่ความรักเสมอไป เพราะนักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาบอกว่า รักแรกพบนั้นส่วนใหญ่แล้วเกิดจากความต้องการทางเพศเท่านั้นเอง


การศึกษาในเรื่องนี้ ถูกเผยแพร่ในวารสารงานวิจัย The International Association for Relationship ศึกษาจากการ ออกเดตกัน 500 ครั้ง ของนักศึกษาชาวดัตช์และชาวเยอรมัน อายุเฉลี่ยที่ 25 ปีจำนวน 200 คน


ทุกคนจะถูกกำหนดให้ทำอยู่สามขั้นตอน แรกสุดคือทำแบบสำรวจออนไลน์ ต่อมาจะถูกศึกษาพฤติกรรมในห้องปฏิบัติการ และสุดท้ายจะได้ไปออกเดตแบบเผชิญหน้ากัน โดยทั้งสามขั้นตอนนี้จะมีเวลาให้แค่ 90 นาทีเท่านั้น


เมื่อกลุ่มตัวอย่างทำขั้นตอนที่สามคือการออกเดตแบบเผชิญหน้ากันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจะถูกถามว่ารู้สึกเหมือนกับได้เจอรักแรกพบบ้างหรือเปล่า?


และให้บอกว่าระดับความเข้ากันได้ทางกายภาพของเขาและเธอนั้นอยู่ที่เท่าไหร่จาก 3 ระดับ ได้แก่ “รู้สึกสนิทสนม” “รู้สึกใกล้ชิด” และ “รู้สึกถึงความต้องการในเรื่องเพศ”


จากการพบกันทั้งหมด ผลออกมาว่ามีสิ่งที่เรียกว่ารักแรกพบเกิดขึ้นมาถึง 49 ครั้ง จากผู้ร่วมการทดสอบแค่ 32 คน และเกือบทั้งหมดนั้นเกิดจากความต้องการในเรื่องเพศแทบทั้งสิ้น หลังจากที่หลงใหลในรูปร่างอันสะดุดตาของเพศตรงข้าม


และแม้ว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่างจะเป็นผู้หญิง แต่คนส่วนใหญ่ที่มีอาการรักแรกพบนั้นคือผู้ชาย




ขอบคุณเว็บไซด์ http://www.catdumb.com/love-at-first-sight-research-339/ ที่เอามาเผยแพร่ต่อ


ความรักเรื่องเพศนี้ เป็นความรักมิติที่ต่ำสุดที่พ่อครูได้เคยสอนไว้ หากเราละได้ เราจะค้นพบความรักมิติที่สูงขึ้น ใจเราจะมีอิสรเสรีภาพมากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อโลกมากขึ้น
พ่อครูเคยตอบคำถามญาติธรรมเรื่องความรักมิติที่ 1 นี้ไว้หลายครั้งเช่นว่า


_การที่เราแอบรัก ชอบเพศตรงข้าม แล้วเขาไม่รู้ แล้วเราไม่คิดว่าจะไปใช้ชีวิตคู่ เป็นความรักมิติที่ ๑ หรือไม่?
ตอบ...เป็นความรักมิติที่ ๑ เป็นเรื่องคู่เรื่องเพศ รักเงาด้วยซ้ำไป ไม่อยากให้ใครรู้ อย่าเผลอนะพังได้


_ถ้าเรามีความรักที่ผูกเป็นคู่แล้วทำอย่างไรไม่ให้มันเลวไปกว่านี้
ตอบ..ต้องพรากต้องตัดเลย ไม่ละเว้น ต้องตัด พระพุทธเจ้าท่านใช้ศัพท์ว่า ต้องชักสะพานเสีย ท่านใช้ศัพท์ที่ว่าชักสะพานเสีย มันมีสายที่จะต่อกันได้ ตัดขาดจริงๆ อดทน ถ้ามันขาดใจตาย แล้วก่อนตายมาบอกหลวงปู่ หลวงปู่จะให้แผ่นทองคำเลย ว่าขาดใจตายเพราะสู้กับกิเลสจนตายเลย


_ถ้าคนเรามีความรักมิติที่ ๑ ที่เห็นแก่ตัว และเรามีความรักมิติอื่นไปพร้อมกัน จะเห็นแก่ตัวไหม?
ตอบ..เห็นแก่ตัวอยู่ แต่ก็เห็นแก่ผู้อื่นด้วย มันน้อยคนที่จะเห็นแก่แค่คู่ตนเอง มันหน้ามืดตาบอดเลวจัดแท้ เป็นธรรมชาติที่จะเผื่อแผ่ไปบ้าง


_ความรักไม่ใช่ความโลภหรือความแลกมาให้ตนแล้วความรักคืออะไร?
ตอบ...คือมันเป็นความเผื่อแผ่ ความใจกว้าง เห็นแก่คนอื่น ไม่ใช่โลภมาแก่ตน ความรักนี่นะ อีกศัพท์เรียกว่าเมตตาคือปรารถนาดีต่อคนอื่น


_แล้วมาอยู่วัดนี่มันยากเกินกว่าจะทำได้ ต้องถือพรหมจรรย์ ไม่ได้แน่นอน?
ตอบ...ไม่ได้แน่นอนก็เป็นคำตอบในตัว พระพุทธเจ้าว่าปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตา ก็ยังดีกว่า ยังไม่มีนรกเท่า ยังไงๆ คุณอยู่ข้างในแม้ฝืนก็ไม่ได้สร้างจิตต่อกับโลกีย์ ที่ผูกพันพยาบาทเยอะ


_หลวงปู่คะ ตอนนี้หนูหนักใจมากเลยค่ะ การที่เราจะลืมใครสักคน ทำไมมันลืมยากจังเลยค่ะ การที่เราจะตัดใครสักคน ออกไปจากชีวิต ทำไมมันยากจังเลย
ตอบ... รู้แล้ว หลวงปู่ก็เคยบ้าเคยโง่ อย่างนี้มา มันก็เป็นไปตามประสา ของผู้ที่ยังมีสิ่งนี้ จะต้องเจอต้องพบอย่างนี้ อย่างน้อย สรีระก็มีฮอร์โมน เรื่องของกาม ที่พูดนี้ เป็นเชิงกามแน่นอน ถ้าเป็นเชิงกาม รักอย่างหญิงชาย พระพุทธเจ้า สอนให้เลิกเถอะ เพราะมันเป็นโทษภัย มันเป็นทุกข์ จริงว่าสัตว์โลก จะต้องสืบพันธุ์ต่อเผ่าพันธุ์ แต่ในยุคนี้ คนมีกิเลสกามมากแล้ว เมื่อเข้ามาอยู่กับชาวอโศกแล้ว หยุดเถิด พยายามเรียนรู้เอาให้ได้ เอาอย่างนี้ ตัดขาดให้ได้ ตายเป็นตาย แล้วตายไปเลยสภาพนี้ ตายเพราะว่า หยุดใจรักคนนี้ไม่ได้
จนขาดใจตาย ชาติหน้าก็จะเจริญ ชาติหน้าจะไปวางได้ นี่คือคำตอบสุดท้าย


_ทำไมคนเราถึงอยากมีความรักครับ
พ่อครูว่า...ก็จะวนเวียนอยู่อย่างนั้น เพราะว่ายังโง่อยู่ เลิกโง่เสียทีได้ไหมโดยเฉพาะความรักเรื่องกามเรื่องเพศ มันไม่เป็นปัญญาเลย ยังเป็นอวิชชาอยู่ หยุดมันเลยด้วยเหตุผลทั้งปวง หยุดเรื่องเพศ แม้กดข่มเฉยๆก็เถอะ กดข่มแล้วจะรู้ว่า หยุดไปนี่มันก็ไม่มีอะไรไม่สบายมันก็สบายดี หากกดข่มได้ แล้วเราไม่มีปัญญาหรือ ปัญญาก็รู้ว่ามันสบายดีแล้วไปมีมันทำไม ให้ไม่สบาย ก็จะตอบด้วยภาษาก็มีภาษาอื่นแล้วนอกจากพออย่างเดียว มันเป็นความทุกข์ที่ไม่รู้จักเสร็จเสียที แล้วไปมีมันทำไม หยุดมีสิ พลังงานปัญญาจะชัดเจนแข็งแรงขึ้น มันก็จะมีพลัง จนเพิ่มสัมประสิทธิ์ Coefficient ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ทำไปเรื่อยๆสักวันมันจะมีประสิทธิภาพที่เป็นสัมประสิทธิ์


สมณะเดินดินว่า...ไม่แน่ใจว่านักเรียนเวลาไปมีความรักแล้วรู้สึกสบายดีกว่า หรือว่าตอนมีความรักแล้วสบายดีกว่า
พ่อครูว่า..มันว่างเบากว่าไหม แล้วไปมีไปทำไม เป็นเพื่อนกันเป็นพี่น้องกันเกื้อกูลกันดีกว่าเยอะ


570821_ความรัก ๑๐​มิติ(๕) วนบ. เรื่อง ความรักมิติที่๑ อ่านแบบเรียบเรียงแล้ว


พ่อครูว่า...อาตมาได้สาธยายมาสามบทแล้ว จากหนังสือความรัก ๑๐ มิติที่มีถึงสองเวอร์ชั่น แต่ว่าอ่านจริงๆอ่านไปเล่มเดียวไม่ได้อ่านไปทั้งสองเล่ม อาตมาก็ว่าน่าจะอ่านของที่เขียนเรียบเรียง ไม่ใช่ที่ถอดเทปจากการบรรยาย ซึ่งก็ไม่เหมือนกัน


อ่านฉบับใหม่ดูบ้าง


ความรักมิติที่ ๑ กามนิยม


มิติที่ ๑ คือ ความรักที่เป็นเรื่องของความใคร่ เรื่องของกาม  เรื่องของการสมสู่ของผู้หญิงผู้ชาย เรื่องของคน ๒ คน หากจะเห็นแก่กันและกันก็แค่อยู่ในวงวนของ “คนคู่” หรือคน ๒ คน ซึ่งเป็นความรักที่เผื่อแผ่แก่กันอยู่แค่คนสองคน ความรักมิตินี้ ถ้ายิ่งรักมากติดใจในรสกามของคู่ตน สุขสมในรสใคร่มากเท่าใดๆ ก็ยิ่งแคบมากเข้าๆเท่านั้นๆ มันเป็นวงแคบที่เห็นแก่แค่คู่รักคู่ใคร่ของคนเท่านั้น ถ้าแม้นติดมากยึดมาก ดูดดึงมาก กก็ยิ่งหวงแหนมาก ผูกมัดรัดรึงตรึงใจเป็นอุปาทานแน่นขึ้นๆ และหากยิ่งมีแต่ความใคร่มากขึ้นๆ ก็ยิ่งจะมืดดำฤษณา เป็นความหลงใหลคลั่งไคล้และหึงจัดรัดรอบรุนแรง ไม่มีคนอื่นแทรกเข้าได้เลย มีอะไรก็ทุ่มโถมให้แต่แก่เธอแก่ความรักที่หลงติดผูกแน่นนี้เท่านั้น หนักเข้าๆ จะเห็นแต่แก่ตัว โดยอาศัยคู่ที่ตนรักสุดนั่นแหละเป็นเครื่องมือ หรือเป็นองค์ประกอบในการเสพสมสุขสมให้แก่ตน ยิ่งหลงในรสสุขนั้นมากเท่าใดก็ยิ่งยึดเป็นตัวของตนสนิทเนียนเข้าเป็นตน กระทั่งถึงขั้นใครมองใครแตะต้องไมได้ จะหึงแรงจนถึงขั้นทำร้ายคนที่มากล้ำกรายได้ ถึงขั้นเอาตายกันทีเดียว


อารมณ์ชนิดนี้ คือความเห็นแก่ตัวแท้ๆ คือ ความโลภเพื่อตัวเพื่อตนเต็มๆ คือ กามราคะสมบูรณ์แบบ หากจะเรียกว่า “ความรัก” ก็เป็นความรักที่ต้องการมาบำเรอตนนั่นแหละ
การบำเรอนี่มีอยู่ในอัมพัฏฐสูตร ว่าด้วยความเสื่อมของชาวพุทธ


๑.ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ ยังมีวินัย ไม่พรากพืชไม่ขุดดินอาจไม่กินเนื้อสัตว์ได้ เหมือนสมัยนี้ คนนับถือพระป่า
๒.ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า
๓.สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์
๔.สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม ๙  ข้อ ๑๖๓)  


ถ้าบำเรอนตน ไม่ใช่ความรัก แม้แต่บำเรอตนเองก็ไม่ใช่ความรัก การบำเรอมันเกินพอดี มันมากกว่าบำรุง การได้มาสมใคร่สมอยากแก่ตน เป็น “ความเห็นแก่ตัว”


ใครถ้าแม้นถึงขั้นปฏิบัติต่อคู่ของตนเยี่ยงทาส หรือเยี่ยงวัตถุบำบัดความใคร่ ไม่มีใจเผื่อแผ่เกื้อกูลปรารถนาดีต่อคู่ของตน แม้ด้านกายภาพจะจ่ายวัตถุ ข้าวของเงินทองทรัพย์ฤศงคารให้ด้วยอากัปกิริยาที่ดูเหมือนมีน้ำใจเอื้อเอ็นดูเสียสละปานใดๆก็ตาม ก็เห็นเพียงค่าจ้าง ทุกอย่างเพื่อ “ตัวเอง”แท้ๆ คนผู้นี้ยัง ไม่ชื่อว่า “มีความรัก” เป็นแค่ผู้ “ให้” หรือผู้ “จ่าย” ค่าจ้าง เพื่อบำเรอความใคร่ของตน


จนกว่าคนผู้นี้ จะมี “การเผื้อแผ่การเสียสละ” ให้แก่ “คู่” ของตน อย่างบริสุทธิ์ใจไม่ว่าจะ “ให้” วัตถุธรรมให้รูปธรรม หรือให้นามธรรม ถ้าให้มาก ใจสะอาดมากก็  “รัก” มาก ให้น้อย ใจสะอาดน้อย ก็ “รัก” น้อย  เพราะการ “ให้” หรือ “สละ” ที่ออกไปจาก ความรัก เกิดจากความรักนั้น จะมิใช่เพื่อแลกอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ เป็นอันขาด


การให้นี่ ๑ ให้เขาแล้วเป็นประโยชน์ ๒.ให้แล้วเราไม่ต้องการอะไรที่จะแลกเปลี่ยนมาตอบแทน ถ้ามีปัญญาก็เพราะเห็นสมควรว่าจะให้ ถ้าไม่สมควรก็ไม่ต้องให้ ที่ที่จะให้หรือผู้ที่สมควรให้มีอีกเยอะในโลกนี้


“ความรัก” ไม่ใช่ “ความโลภ” หรือ “ความแลก” มาให้ตน


หากยังมีความโลภใดๆที่เหลือเป็นเศษเป็นส่วนอันต้องการ แลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ตน “ให้” หรือตน “สละ” อยู่เท่าใดๆ ก็ลด “ค่า” ของความรัก ลงตามจริงเท่านั้นๆ ยิ่งเป็นการ “ให้” หรือ “สละ” เพื่อแลกเอามา “เป็นของตนคนเดียว” หรือ “เป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ ต่อตน ที่ตนจะด้ทาสนั้นไว้บำเรอประโยชน์แก่ตนแต่เพียงผู้เดียวก็ยิ่งมิใช่ การให้ การสละ เลย แต่เป็น การซื้อ แท้ๆตรงๆ ป่วยการกล่าวถึงคำว่า ความรัก


ยิ่งชอบมาก ติดใจมากในรสกามของคู่ตน สุขสมในรสใคร่มาก ที่เห็นคู่เสพของตนเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ตนยิ่งสุขสะใจ(sadist) นั่นยิ่งไม่ใช่ ความรัก แต่นั่นคือ การสุขสมอารมณ์ที่ตนชอบความรุนแรงโหดร้าย ซึ่งฝังอยู่ส่วนลึกในก้นบึ้งของจิตตนเอง เป็น สัญชาติญาณหรืออนุสัย(Unconscious) ที่เจ้าตัวไม่สามารถหยั่งลงไปล่วงรู้ความจริง ของ “จิตวิปริต” เหล่านี้ได้ เพราะมันเป็น “จิตไร้สำนึก” (Unconscious) ที่เกิดจากตนเคย ยินดีในความรุนแรง และได้สะสมความรุนแรงใส่จิตตนมานาน


เช่น ชอบดูการแข่งขันที่เอาชนะคะคาน กันอย่างถึงพริกถึงขิง หรือชอบดูการต่อสู้ที่ฟาดฟันห้ำหั่นกัน ดูการทำร้ายเข่นฆ่ายิ่งต่อสู้กันรุนแรงโหดเหี้ยมเท่าไหร่ก็ยิ่งชอบ กระทั่งรุนแรงสูงขึ้นหยาบขึ้นๆ เป็นคนชอบความโหดร้าย จึงกลายเป็น “คนชอบในความรุนแรงทุกข์ทรมานเหี้ยมโหดฝังลึกอยู่ในจิตไร้สำนึก (sadist) เมืองไทยเป็นเมืองพุทธน่าจะหยุด กีฬาชนไก่ ชนวัว หมาก็เอาไปกัดกัน บางทีตายคาสนามเลย ไก่ชนก็มีที่ตีกันตายคาสนาม คนก็ชอบดูนี่สั่งสมจิตอำมหิต ในหนังบู๊ทั้งหลายก็คือเชื้อของความชอบซาดิสม์เมื่อไม่รู้ตัวก็ไปสั่งสม


จิตที่ได้สั่งสม “ความชอบหรือรักรสชาติของความอำมหิต” เช่นนี้ เมื่อมาแสดงออกกับใครย่อมมิใช่ ความรัก แม้จะมีการให้ การสละวัตถุธรรมนามธรรม กับคู่รักของตนมากเท่าใดๆ ก็ยังมิใช่ ความรัก แต่เป็นเพียง ส่ิงแลกเปลี่ยน เพื่อให้ได้มาซึ่ง ความอำมหิต หรือความวิปริต ที่ฝังลึกอยู่ในจิตไร้สำนึก ของตนโดยแท้


ถ้าจิตวิปริต ในคามอำมหิตได้สั่งสมใส่จิตร้ายหนัก ยิ่งๆขึ้นไปกว่านี้ ก็ก้าวถึงขั้น ตนสุขสะใจ เมื่อตนได้เจ็บเสียเอง ปวดเสียเอง ทุกข์ทรมานเอง (masochist) ไม่ว่าตนทำตนเอง หรือใครจะเป็นผู้กระทำให้ ก็สุขสะใจได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่า คนผู้อำมหิตถึงขั้น “ตนเองทำตนเอง” จึงจะสุขสะใจ นั่นแหละคือ ผู้มีจิตรุนแรงยิ่งกว่า ผู้ที่ให้ “คนอื่น” ทำให้ตนเจ็บแล้วก็สุขสะใจ


พวกซาดิสม์นี่หนักเข้าก็จะเป็นมาซูคิสต์ คือทำให้ตนเองเจ็บแล้วเป็นสุข หนักใหญ่เลย และถ้าพวกวิตถารด้วยกัน คนหนึ่งเป็นมาโซคิสต์อีก คนหนึ่งเป็นซาดิสม์ก็อยู่ด้วยกันได้นานเลย สองคนเหมือนหูกับขี้ทูตเลย ไปด้วยกัน


ความรักมิติที่ ๑ นี้เป็นความรักแบบเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าเพศตรงกันข้ามหรือวิตถาร เพศเดียวกัน เป็นความรักที่เห็นแก่กันและกันอยู่แค่เธอกับฉันเท่านั้น หรือเห็นแก่ผู้อื่นก็แผ่ออกไปแค่คนๆเดียว วงรักจึงแคบอยู่แค่คนสองคน คือให้แก่กันและกันก็แค่สองคน ซึ่งถ้าจัดจ้านก็มีอารมณ์หึงหวง แก่งแย่ง รุนแรงถึงขั้นฆ่ากัน ฆ่าตนเองสังเวยชีวิต เช่นบูชารัก ก็เป็นได้


ขึ้นชื่อว่า กาม มีแต่ความขาดทุน เพราะได้เสพอารมณ์กามสุขนิดหน่อย แต่ทุกข์ยากมากหลาย ทำลายก็หนักหนาเปลืองชีวิต เปลืองใจ เปลืองเวลา เปลืองแรงกาย เปลืองแรงสมอง เปลืองทุนรอนวัตถุทรัพย์สิน เป็นความผลาญพร่าเสียหายที่สุดในโลก ความรักมิติที่ ๑ นี้ จึงต่ำต้อยด้อยค่าที่สุด นับว่าไร้คุณประโยชน์ยิ่งกว่าความรักชนิดใดๆ


อารมณ์ กามสุข ก็เป็นแค่ รสอร่อยที่หลงติด (อัสสาทะ) ซึ่งเป็นเพียง อารมณ์หลอกๆไม่จริง (อลิกะ) เพราะแท้ๆมันเป็นความยึดมั่นถือมั่น (อุปาทาน) ที่คนสามารถจะเลิก จะศึกษาปฏิบัติ ละล้างจนหมดเกลี้ยงไปจากจิตของผู้หลงติดหลงยึด ให้สำเร็จเด็ดขาดสัมบูรณ์(absolute) ได้จริง อันเป็นเรื่อง เหนือธรรมชาติ-เหนือความวนเวียน (โลกุตระ)  หรือเป็นเรื่อง ล้างสัญชาติญาณการสืบพันธ์แห่งสัตว์โลก (โลกุตระ) กันทีเดียว เรื่องนี้ก็คงยากที่จะเชื่อกัน แต่ขอยืนยันว่า เป็นไปได้ (Possible) หรือ สามารถทำได้ (practicable) จริงแน่แท้ ศาสนาพุทธขอท้าทายให้มาพิสูจน์(เอหิปัสสิโก)


สรุปแล้ว ความรัก มิติที่ ๑ นี้ หากใครจะหมายเอาว่าเป็น ความเห็นแก่ตัว ก็ช่างเห็นแท้ดูจริงมากยิ่งเหลือเกิน เพราะกิเลสพาให้เกิดสภาพเช่นนั้นจริง จนทำให้คนมากหลายเข้าใจผิด ว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นได้ แต่ถ้าหากหมายเอาว่าเป็น ความเผื่อแผ่-เสียสละ ก็เป็นแค่ให้ เพื่อแลกกับที่ตนจะได้เสพ รสอร่อยที่ใคร่อยาก(อัสสาทะ) เป็นการเกื้อกูลวนแคบอยู่กับคนๆเดียว หรือเกื้อกูลแก่กันและกันอยู่แค่ คน ๒ คน
ในการสืบพันธ์เป็นการต่อเผ่าสืบพันธ์ สัตว์หลายชนิดมันทุกข์ มันวิ่งหนีด้วย ถูกตัวผู้บังคับด้วย สัตว์หลายชนิด สัตว์บางชนิดจำนน ถูกตัวผู้บังคับได้ มันฆ่าตัวผู้เลย อย่างตั๊กแตนตำข้าวเป็นต้น


ความรักมิติที่ ๑ นี้จึงเรียกว่า “กามนิยม” หรือ “เมถุนนิยม”


ขอเตือนไว้ เรื่องนี้เกิดได้คนมีวิบากก็มีได้ ถ้าคุณไปตกในฐานะนี้บ้างก็คิดดูแล้วกัน คนไหนเป็นทาสกาม ทาสความใคร่ แล้วยังหลงว่าตนได้เงิน ได้ข้าวของ อันอื่นมันก็ไม่เป็นไร มันก็คือลูกทาส กับนายทาส ก็ปล่อยเขาไป แต่ถ้าคุณไม่ได้เป็นทาส ก็จะทรมานขนาดไหน แล้วหวยจะออกที่ใครก็อยู่ที่วิบากใครวิบากมัน ถ้าเราตัดวงจรก็ไม่ต้องไปวนเวียนกับนิยายเช่นนี้


มันเป็นเรื่องที่ยากของโลก สัตว์โลกมันก็ต้องมีฤดูสืบพันธ์ มีฤดูกาลที่ไข่จะสุก แต่คนนี่ก็มีฤดูกาล แต่ไปสร้างกิเลสมันก็เลยไม่เอาฤดูกาลแล้ว เอาแต่เสพรสสำเรออารมณ์ไม่มีเวลาวาระเลย จริงๆแล้วคนที่มันไม่ปรุงยั่วยุมอมเมา ทุกวันนี้เละไปหมดแล้ว จริงๆแล้ว คนเขาบอกว่าแต่งงานกัน แล้วยังไม่มีลูกหรอก เพราะว่าเรายังมีงานมีภาระ คุณเปิดเผยอะไร น่าอายมาก แล้วบอกว่าไม่มีลูก แต่งงานกัน มันเป็นการเปิดเผยส่ิงที่น่าอาย ไปเสพอารมณ์ใคร่อารมณ์กามเท่านั้น มีความซับซ้อนเยอะ แต่ถ้าคุณไม่มีก็จะสำส่อนมากก็มีคู่เสียก็จะได้มีที่ปลดปล่อย มองในแง่ดี แต่จริงๆก็คือว่า


เราจะไปสมสู่ แล้วก็ทำพิธีการกลบเกลื่อน ว่าฉันจะแต่งงานแล้วนะ มีพิธีใหญ่โต เวรจริงๆมันไม่อายเลย จะมาประกาศกันทำไม? ข้าจะทำพิธีเสพรส ภาษาไทยก็เรียกกันอยู่นะว่า “สมรส” แล้วเอาคำว่ามงคลไปใส่ เป็น “มงคลสมรส” เอ็งจะแต่งงานก็แต่งไป อย่าเอาคำว่ามงคลไปเลอะ คนเอาคำว่ามงคลไปบดบังให้สมรสเป็นของดี


เช่นเดียวกับการแข่งม้า ก็ไปขอถ้วยพระราชามา แล้วเรียกว่าการแข่งขันของพระราชา นี่คือเอาคำดีมาแปะไว้ส่ิงชั่ว นี่คือเล่ห์ของมนุษย์ อาตมาพูดเช่นนี้เขาจะชังน้ำหน้าเอาสิ แต่ก็เป็นวิธีการที่อาตมาจะเตือนว่าส่ิงเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เราจะรักษา แต่เราต้องมาลดละ นานๆทีอาตมาก็พูด ตามกาละเทศะ อธิบายแรงหนัก ให้ดูว่ามันต่ำอย่างไร ผู้ใดยังมีคู่อยู่ก็อย่ามาว่าอาตมาว่าเอานะ นี่เป็นความรู้การศึกษาอธิบาย เป็นการชี้ให้ชัดเจน ไม่ได้เจตนาว่าร้ายด่าทอ เป็นแต่เพียงบอกว่าสิ่งนี้น่าจะเลิกละ


หากใครยังกำจัดกิเลสของตนให้ลด ความเห็นแก่ตัว ที่เผื้อแผ่แก่กันและกันอยู่แค่คน ๒ คนนี้ ไม่ได้ เมื่อได้ก่อกรรมผูกเวรขึ้นมีคู่จนเป็นภาระแท้จริงเสียแล้ว ก็ควรจะต้องเมตตาหรือปรารถนาดีแก่คู่ของคนบ้าง ควรจะต้องพากเพียรแบ่งใจของตน ควรจะต้องรับผิดชอบตามหน้าที่อันสมควร มิเช่นนั้นก็จะได้ชื่อว่า ยิ่งต่ำเพราะเลวซ้ำเลวซ้อน


แต่นั่นแหละ อย่างไรมันก็เป็นความแคบ ความรักอื่นที่ประเสริฐกว่านี้ยังมีอีกมาก ควรศึกษาเสริมสร้างความรักที่เป็นคุณค่าประโยชน์กว่านี้ยังมีอีกมาก ควรศึกษาเสริมสร้างความรักที่เป็นคุณค่าประโยชน์เกื้อกูลต่อผู้อื่น พลังงานและเวลาแม้แต่ทุนรอนทรัพย์วัตถุ โดยเฉพาะจิตใจ ซึ่งคนอื่นๆอีกมากหลายในโลกที่ควรได้ประโยชน์


อาตมาเคยมีความรู้สึกว่า ผู้ชายไปจ่ายเงินเพื่อเสพสมอย่างนี้ แล้วเอามาคุยว่าเสียเงินไปเท่านั้นเท่านี้ อาตมาก็ว่าเขากล้าอย่างไร ต้องไปลงทุนทำไมกัน บางคนก็ไปสมสู่กับผู้หญิงหากิน แล้วเสียเงินไป อาตมาตอนนั้นก็ยังแปลกใจว่า เราเสียดายเงิน ไปแลกกับสิ่งนี้ทำไม เพื่อเสพสมสุขสมแค่นี้ อาตมาในชีวิตไม่เคยไปจ่ายเงินเรื่องอย่างนี้ คิดไม่ออก


อาตมานี่เคยเล่าแล้วนะ ว่าไปไนท์คลับ เพื่อนก็เรียกผู้หญิงมาให้เรา เราก็ว่าผู้หญิงแบบนี้นะ มันก็จะมาคลอเคลีย อาตมาไม่รู้จะทำอย่างไร มันรังเกียจทีหลังก็ไม่เอาละ อาตมาไปไนท์คลับก็จะไปหาหลังเวทีพวกนักดนตรี ตอนหลังเพื่อนจะเลี้ยงแบบนี้อาตมาไม่เอาอีกเลย ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว แม้แต่เต้นรำอาตมาก็ไม่เอา แต่ก่อนเขาต้องจับคู่กันนะ ทุกจังหวะเต้นรำเลย อาตมาก็ว่าไม่เอานะ จับเหวี่ยงไปมา มีงานเต้นรำนี่ไม่เอา ในชีวิตนี้ไม่เต้นรำ แต่รำวงนี้เอา ต่างคนต่างรำ ไม่เคยหัดเต้นรำ แต่ไหนแต่ไร เป็นนักดนตรีรู้จักจังหวะ คนเต้นก็มาถามเรา แต่เราไม่เต้น แต่ที่เต้นไม่รู้จักจังหวะ สิ่งเหล่านี้เกิดจากจิตวิญญาณเราสั่งสมมาแต่ปางบรรพ์ เป็นเรื่องสัจจะมาแต่เดิม พอเกิดมาชาตินี้ก็เป็นลิงลมอมข้าวพอง


อย่างพระพุทธเจ้านี่เกิดมาก็ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าทันที ต้องเป็นลิงลมอมข้าวพองอีกนาน กว่าจะถึงวาระที่จะอุบัติเป็น พุทธุปาทกาละ ก็ตรัสรู้ได้ แต่พระพุทธเจ้ามีผู้บอกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า แต่อย่างอาตมาไม่มีใครมาเคยบอกว่าเลยว่าเป็นโพธิสัตว์ จนมาปฏิบัติเองถึงรู้


“ความรัก” ไม่ใช่เรื่องแค่ คน ๒ คน เท่านั้นแน่ๆ ที่เราจะเกื้อกูลแบ่งใจแบ่งชีวิตแบ่งพลังงาน แบ่งทุนรอนเอื้อเฟื้อเผื้อแผ่หรือเสียสละให้ เพราะผู้อื้นมีอีกมากมายในโลกที่เราจะเอื้อมเอื้อเกื้อกว้างออกไปจากตัวจากตนที่เป็นวงแคบเพียง ๒ คน หากได้ศึกษาพุทธธรรมถึงขั้นโลกุตระ ประพฤติตนให้บรรลุมรรคผลดีขึ้นสูงขึ้น ลดกามลดกิเลส ที่ทำให้เห็นแก่ตัวอยู่ออกไปได้อีก ความรัก ก็จะเป็น ความเกื้อกูลเสียสละที่เจริญงอกงามไปสู่ความประเสริฐยิ่งๆขึ้นเท่านั้นๆ


หากใครสามารถลดความสูญเสียพลังงาน ทั้งพลังกาย พลังใจ  ลดความสูญเสียเวลา ลดความสูญเสียทุนรอน เพื่อความรักมิติที่ ๑ นี้ลงได้มากเท่าใดๆ หรือที่สุดไม่ต้องสูญเสียอะไรเพื่อความรักมิตินี้เลย ก็นั่นแหละคือ ความหลุดพ้นจาก ความรัก มิติที่ ๑นี้ได้สำเร็จ


“ความรักคือสวนดอกไม้ที่ต้องรดด้วยน้ำตา!!!"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

# พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ฝากลมฝากฟ้าผ่านสื่อไปถึงนายกฯลุงตู่ด้วยความปรารถนาดี

_มีคำถาม ในรายการ วิถีอาริยธรรม วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2561นี้ ว่า.....เปรยตามสายไลน์มาว่า พ่อท่านพูดอะไรก็ดีไปหมด มีเรื่องเดียวที่ไม่เข้าห...